วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิหาระทานะคาถา

วิหาระทานะคาถา
สีตัง อุณหัง ปะฏิหันติ ตะโต วาฬะมิคานิ จะ
เสนาสนะย่อมป้องกันเย็นแลร้อน แลสัตว์ร้าย

สิริงสะเป จะ มะกะเส สิสิเร จาปิ วุฏฐิโย
งู ยุง ฝนที่ตั้งขึ้นในสิสิระฤดู

ตะโต วาตาตะโป โฆโร สัญชาโต ปะฏิหัญญะติ
ลมแลแดดอันกล้า เกิดแล้ว ย่อมบันเทาไป

เลนัตถัญจะ สุขัตถัญจะ ฌายิตุง จะ วิปัสสิตุง
วิหาระทานัง สังฆัสสะ อัคคัง พุทเธหิ วัณณิตัง
การถวายวิหารแก่สงฆ์ เพื่อเร้นอยู่ เพื่อความสุข 
เพื่อเพ่งพิจารณา แลเพื่อเห็นแจ้ง 
พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่าเป็นทานเลิศ

ตัส๎มา หิ ปัณฑิโต โปโส สัมปัสสัง อัตถะมัตตะโน
เพราะเหตุนั้นแลบุรุษบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ตน

วิหาเร การะเย รัมเม วาสะเยตถะ พะหุสสุเต
พึงสร้างวิหารอันรื่นรมย์ ให้ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูตรอยู่เถิด

เตสัง อันนัญจะ ปานัญจะ วัตถะเสนาสะนานิ จะ
ทะเทยยะ อุชุภูเตสุ วิปปะสันเนนะ เจตะสา
อนึ่งพึงถวายข้าวน้ำผ้าเสนาสนะแก่ท่านเหล่านั้น 
ด้วยน้ำใจอันเลื่อมใสในท่านผู้ซื่อตรง


เต ตัสสะ ธัมมัง เทเสนติ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง
ยัง โส ธัมมะมิธัญญายะ ปะรินิพพาตะยะนาสะโวติ ฯ
เขารู้ธรรมอันใดในโลกนี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน 
ท่านย่อมแสดงธรรมนั้นอันเป็นเครื่องบันเทาทุกข์ทั้งปวงแก่เขาดังนี้.

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

อาทิยะสุตตะคาถา

อาทิยะสุตตะคาถา

ภุตตา โภคา ภะฏา ภัจจา วิติณณา อาปะทาสุ เม
โภคะทั้งหลายเราได้บริโภคแล้ว บุคคลทั้งหลายที่ควรเลี้ยง
เราได้เลี้ยงแล้ว อันตรายทั้งหลาย เราได้ข้ามพ้นไปแล้ว
อุทธัคคา ทักขิณา ทินนา อะโถ ปัญจะ พะลี กะตา
ทักษิณาที่เจริญผล เราได้ให้แล้ว อนึ่งพลีห้าเราได้ทำแล้ว
อุปัฏฐิตา สีละวันโต สัญญะตา พรัหมะจาริโน
ท่านผู้มีศิลสำรวมแล้วประพฤติพรหมจรรย์ เราได้บำรุงแล้ว
ยะทัตถั โภคะมิจเฉยยะ ปัณฑิโต ฆะระมาวะสัง
บัณฑิตผู้ครองเรือน ปรารถนาโภคะเพื่อประโยชน์อันใด
โส เม อัตโถ อะนุปปัตโต กะตัง อะนะนุตาปิยัง
ประโยชน์นั้นเราได้บรรลุแล้ว กรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่ง
ความเดือดร้อนภายหลัง เราได้ทำแล้ว
เอตัง อะนุสสะรัง มัจโจ อะริยะธัมเม ฐิโต นะโร
นรชนผู้จะต้องตายเมื่อตามระลึกถึงคุณข้อนี้อยู่
ย่อมเป็นผู้ตั้งอยู่ในอริยธรรม
อิเธวะ นัง ปะสังสันติ เปจจะ สัคเค ปะโมทะตีติ
เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญนรชนนั้น ในโลกนี้
นรชนนั้น ละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ดังนี้.

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

เทวะตาภิสัมมันตะนะคาถา

เทวะตาภิสัมมันตะนะคาถา
  ยานีธะ    ภูตานิ    สะมาคะตานิ
                   ภุมมานิ    วา    ยานิ    วะ    อันตะลิกเข
                   สัพเพ    วะ    ภูตา    สุมะนา    ภะวันตุ
                   อะโถปิ    สักกัจจะ    สุณันตุ    ภาสิตัง
                   สุภาสิตัง    กิญจิปิ    โว    ภะเณมุ
                   ปุญเญ    สะตุปปาทะกะรัง    อะปาปัง
                   ธัมมูปะเทสัง    อะนุการะกานัง
                   ตัสมา    หิ    ภูตานิ    สะเมนตุ    สัพเพ
                   เมตตัง    กะโรถะ    มานุสิยา    ปะชายะ
                   ภูเตสุ    พาฬหัง    กะตะภัตติกายะ
                   ทิวา    จะ    รัตโต    จะ    หะรันติ    เย    พะลิง
                   ปัจโจปะการัง    อะภิกังขะมานา
                   เต    โข    มะนุสสา    ตะนุกานุภาวา
                   ภูตา    วิเสเสนะ    มะหิทธิกา    จะ
                   อะทิสสะมานา    มะนุเชหิ    ญาตา
                   ตัสมา    หิ    เน    รักขะถะ    อัปปะมัตตาฯ


คำแปล    
หมู่ภูตเหล่าใดที่เป็นภุมเทวดาก็ดี    เหล่าใดสถิตแล้วในอากาศ ก็ดี  บรรดาที่มาประชุมกันแล้วในที่นี้    ขอหมู่ภูตเหล่านั้นทั้งหมดจงเป็นผู้มีจิตโสมนัส    อนึ่ง  ขอท่านจงฟังภาษิตโดยเคารพ    เราจะกล่าวสุภาษิตแม้บางประการแก่ท่านทั้งหลาย    ไม่เป็นบาปเป็นเครื่องทำความเตือนสติในบุญ    เป็นอุบายเครื่องแนะนำอันชอบธรรมของบุคคลผู้กระทำตาม  ทั้งหลาย     เพราะเหตุนั้นแลหมู่ภูตทั้งปวงจงฟังเถิด    ท่านทั้งหลายจงมีไมตรีจิตในหมู่สัตว์มนุษยชาติ  ผู้มีภักดีอันทำแล้ว  มั่นในหมู่ภูต  มนุษย์ทั้งหลายเหล่าใด  กระทำพลีกรรมทั้งในกลางวันหรือกลางคืน  ด้วยมุ่งหวัง   ความอุดหนุนตอบแทน  มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้มีอานุภาพน้อย  ส่วนภูตทั้งหลายเป็นผู้มีฤทธิ์มากด้วยประการต่างๆ เป็นพวกอทิสสมานกาย  ที่มนุษย์ทั้งหลายรู้จัก  เพราะเหตุนั้น  ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาท    รักษามนุษย์เหล่านั้นเถิด

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

เทวะตาทิสสะทักขิณานุโมทะนาคาถา

เทวะตาทิสสะทักขิณานุโมทะนาคาถา

              ยัสมิง    ปะเทเส    กัปเปติ                          วาสัง    ปัณฑิตะชาติโย
             สีละวันเตตถะ    โภเชตวา                       สัญญะเต    พรัหมะจาริโน
             ยา    ตัตถะ    เทวะตา    อาสุง                   ตาสัง    ทักขิณะมาทิเส
             ตา    ปูชิตา    ปูชะยันติ                             มานิตา    มานะยันติ    นัง
             ตะโต    นัง    อะนุกัมปันติ                       มาตา    ปุตตังวะ    โอระสัง
             เทวะตานุกัมปิโต    โปโส                        สะทา    ภัทรานิ    ปัสสะติ  ฯ
คำแปล 
                   บัณฑิตชาติ    อยู่ในประเทศสถานที่ใด  พึงเชิญเหล่าท่านที่มีศีลสำรวมระวังประพฤติพรหมจรรย์มาเลี้ยงดูกันในที่นั้น   เทพดาเหล่าใด  สถิตในที่นั้น  ควรอุทิศทักษิณาทานเพื่อเทพดาเหล่านั้นด้วย    เทพดาที่ได้รับการบูชาแล้ว   ย่อมบูชาเขาตอบบ้าง  ที่ได้รับการสักการะแล้ว  ย่อมสักการะเขาตอบบ้าง    แต่นั้นเทวดาย่อมอนุเคราะห์เขา  ประหนึ่งมารดาอนุเคราะห์บุตรที่เกิดจากอก  บุรุษได้อาศัยเทพดาอนุเคราะห์แล้ว  ย่อมเห็นกิจการอันเจริญขึ้นทุกเมื่อ.

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

อาฏานาฏิยะปะริตตัง(ย่อ)

อาฏานาฏิยะปะริตตัง(ย่อ)
สัพพะโรคะวินิมุตโต                                              สัพพะสันตาปะวัชชิโต
สัพพะเวระมะติกกันโต                                          นิพพุโต  จะ  ตุวัง  ภะวะฯ
สัพพีติโย  วิวัชชันตุ                                                 สัพพะโรโค  วินัสสะตุ
มา  เต  ภะวัตวันตะราโย                                         สุขี  ทีฆายุโก  ภะวะ
อะภิวาทะนะสีลิสสะ                                              นิจจัง  วุฑฒาปะจายิโน

จัตตาโร  ธัมมา  วัฑฒันติ                                        อายุ  วัณโณ  สุขัง  พะลัง


อาฏานาฏิยปริตรนี้ เป็นคาถาที่ท้าวจาตุมมหาราช ผูกขึ้น เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันเหล่าอมนุษย์บา­งพวก ที่ไม่หวังดีต่อพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ ที่ไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ตามป่าเขา ลำเนาไพร เมื่อไม่มีอะไรป้องกันเหล่าอมนุษย์ที่ไม่เ­ลื่อมใส ก็จะรบกวน เบียดเบียน ทำให้เกิดความลำบาก ท้าวมหาราชจึงได้แสดงเครื่องป้องกันรักษาช­ื่ออาฏานาฏิยรักษ์ นี้ไว้
อาฏานาฏิยรักษ์นี้ มีอานุภาพ ๒ ประการ คือ (๑) มีอานุภาพในการทำให้อมนุษย์ที่ไม่เลื่อมใส ให้เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา (๒) มีอานุภาพในการคุ้มครองป้องกันไม่ให้อมนุษ­ย์ที่ไม่เลื่อมใส
จับต้องสิงสู่ เบียดเบียน ประทุษร้าย ทา ให้ได้รับความลำบากเดือดร้อน
สำหรับอาฏานาฎิยปริตร ที่พระสงฆ์ใช้สวดในปัจจุบันเป็นบทย่อ ที่บูรพาจารย์ได้นำเอาคาถานมัสการพระพุทธเ­จ้าในอดีตที่ท้าวเวสสุวัณ แสดงไว้เฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์ มาอ้างเป็นสัจกิริยา ให้เกิดเป็นอานุภาพในการคุ้มครอง ป้องกัน รักษา ตามคา ของท้าวจตุโลกบาล ถ้าอมนุษย์ตนใด เบียดเบียนผู ้ที่เจริญอาฏานาฏิยปริตรให้ได้รับ ความลำบาก อมนุษย์ตนนั้น ก็จะได้รับการลงโทษ จากเหล่าเทพทั้งหลาย

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

อัคคัปปะสาทะสุตตะคาถา

อัคคัปปะสาทะสุตตะคาถา
อัคคะโต   เว  ปะสันนานัง                                      อัคคัง  ธัมมัง  วิชานะตัง
อัคเค  พุทเธ  ปะสันนานัง                                       ทักขิเณยเย   อะนุตตะเร
อัคเค  ธัมเม   ปะสันนานัง                                       วิราคูปะสะเม  สุเข
อัคเค  สังเฆ  ปะสันนานัง                                       ปุญญักเขตเต  อะนุตตะเร
อัคคัสํมิง  ทานัง  ทะทะตัง                                      อัคคัง  ปุญญัง  ปะวัฑฒะติ
อัคคัง  อายุ  จะ  วัณโณ  จะ                                     ยะโส  กิตติ  สุขัง  พะลัง
อัคคัสสะ  ทาตา  เมธาวี                                           อัคคะธัมมะสะหาหิโต

เทวะภูโต  มะนุสโส  วา                                          อัคคัปปัตโต   ปะโมทะตีติฯ

คำแปล
อัคคัปปะสาทะสุตตะคาถาแปล
        อัคคะโต  เว  ปะสันนานัง  อัคคัง  ธัมมัง  วิชานะตัง  
เมื่อบุคคลรู้จักธรรมอันเลิศ  เลื่อมใสแล้วโดยความเป็นของเลิศ
 อัคเค  พุทเธ ปะสันนานัง
เลื่อมใสแล้วในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ
ทักขิเณยเย  อะนุตตะเร
ซึ่งเป็นทักษิไณยบุคคลอันเยี่ยมยอด 
อัคเค  ธัมเม  ปะสันนานัง 
เลื่อมใสแล้ว  ในพระธรรมอันเลิศ 
วิราคูปะสะเม  สุเข 
ซึ่งเป็นธรรมปราศจากราคะแลสงบ
รำงับเป็นสุข  อัคเค  สังเฆ  ปะสันนานัง
เลื่อมใสแล้วในพระสงฆ์ผู้เลิศ 
ปุญญักเขตเต  อะนุตตะเร 
ซึ่งเป็นบุญเขตอย่างยอด
อัคคัสมิง  ทานัง  ทะทะตัง
 ถวายทานในท่านผู้เลิศนั้น 
อัคคัง  ปุญญัง  ปะวัฑฒะติ 
บุญที่เลิศก็ย่อมเจริญ
 อัคคัง  อายุ  จะ วัณโณ  จะ อายุ  วรรณะ  ที่เลิศ  ยะโส  กิตติ  สุขัง พะลัง
 แลยศเกียรติคุณ  สุขะ  พละ  ที่เลิศย่อมเจริญ 
อัคคัสสะ  ทาตา  เมธาวี อัคคะธัมมะสะมาหิโต 
ผู้มีปัญญาตั้งมั่นในธรรมอันเลิศแล้ว  ให้ทานแก่  ท่านผู้เป็นบุญเขตอันเลิศ
เทวะภูโต  มะนุสโส  วา
จะไปเกิดเป็นเทพดาหรือไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ตาม 
อัคคัปปัตโต  ปะโมทะตีติ 

ย่อมถึงความเป็นผู้เลิศบันเทิงอยู่ ดังนี้แล

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

ติโรกุฑฑะกัณฑะปัจฉิมภาค

ติโรกุฑฑะกัณฑะปัจฉิมภาค
อะทาสิ  เม  อะกาสิ  เม                                            ญาติมิตตา  สะขา  จะ เม
เปตานัง  ทักขิณัง  ทัชชา                                         ปุพเพ  กะตะมะนุสสะรัง
นะ  หิ  รุณณัง  วา  โสโก  วา                                   ยา  วัญญา  ปะริเทวะนา
นะ  ตัง  เปตานะมัตถายะ                                        เอวัง  ติฎฐันติ  ญาตะโย
อะยัญจะ   โข  ทักขิณา  ทินนา                               สังฆัมหิ  สุปะติฎฐิตา
ทีฆะรัตตัง  หิตายัสสะ                                             ฐานะโส  อุปะกัปปะติ
                        โส  ญาติธัมโม   จะ  อะยัง   นิทัสสิโต
                        เปตานะ  ปูชา  จะ  กะตา  อุฬารา
                        พะลัญจะ  ภิกขูนะมะนุปปะทินนัง

                        ตุมเหหิ  ปุญญัง  ปะสุตัง   อะนัปปะกันติฯ  


แปล
อะทาสิ เม  อะกาสิ เม  ญาติมิตตา  สะขา จะ เม
 บุคคลมาระลึกอุปการะอันท่านได้ทำแก่ตนในกาลก่อนว่า  ผู้นี้ได้ให้สิ่งนี้แก่เรา  ผู้นี้
ได้ทำกิจนี้ของเรา ผู้นี้เป็นญาติ  เป็นมิตร เป็นเพื่อนของเรา  ดังนี้                             เปตานัง  ทักขิณัง  ทัชชา  ปุพเพ  กะตะมะนุสสะรัง 
ก็ควรให้ทักษิณาทาน  เพื่อผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว 
นะ หิ  รุณณัง  วา โสโก  วา ยาวัญญา  ปะริเทวะนา
 การร้องไห้ก็ดี  การเศร้าโศกก็ดี  หรือการร่ำไรรำพันอย่างอื่นก็ดี  บุคคลไม่
 ควรทำทีเดียว  นะตัง  เปตานะมัตถายะ  เพราะว่าการร้องไห้เป็นต้นนั้น
  ไม่เป็นประโยชน์แก่ญาติทั้งหลายผู้ละโลกนี้ไปแล้ว
 เอวัง  ติฏฐันติ  ญาตะโย
ญาติทั้งหลายย่อมตั้งอยู่อย่างนั้น 
อะยัญจะ โข  ทักขิณา  ทินนา 
ก็ทักษิณานุปทานนี้แล อันท่านให้แล้ว
สังฆัมหิ  สุปะติฏฐิตา 
ประดิษฐานไว้ดีแล้วใน
สงฆ์  ทีฆะรัตตัง  หิตายัสสะ ฐานะโส อุปะกัปปะติ 
ย่อมสำเร็จประโยชน์
เกื้อกูลแก่ผู้ละโลกนี้ไปแล้วนั้นตลอดกาลนาน  ตามฐานะ
โส  ญาติธัมโมจะ อะยัง  นิทัสสิโต
 ญาติธรรมนี้นั้น  ท่านได้แสดงให้ปรากฏแล้ว
เปตานะ  ปูชา  จะ กะตา  อุฬารา
 แลบูชาอันยิ่ง  ท่านก็ได้ทำแล้ว  แก่ญาติทั้งหลายผู้ละโลกนี้ไปแล้ว 
พะลัญจะ ภิกขูนะมะนุปปะทินนัง
 กำลังแห่งภิกษุทั้งหลาย  ชื่อว่าท่านได้เพิ่มให้แล้วด้วย 
ตุมเหหิ  ปุญญัง  ปะสุตัง  อะนัปปะกันติ

บุญไม่น้อย  ท่านได้ขวนขวายแล้ว ดังนี้แล.

กาละทานะสุตตะคาถา

กาละทานะสุตตะคาถา
กาเล  ทะทันติ  สะปัญญา                                        วะทัญญู   วีตะมัจฉะรา
กาเลนะ  ทินนัง  อะริเยสุ                                         อุชุภูเตสุ  ตาทิสุ
วิปปะสันนะมะนา  ตัสสะ                                      วิปุลา  โหติ  ทักขิณา
เย  ตัตถะ  อะนุโมทันติ                                            เวยยาวัจจัง  กะโรนติ  วา
นะ  เตนะ  ทักขิณา  โอนา                                       เตปิ  ปุญญัสสะ  ภาคิโน
ตัสํมา  ทะเท  อัปปะวานะจิตโต                            ยัตถะ  ทินนัง  มะหัปผะลัง

ปุญญานิ   ปะระโลกัสํมิง                                        ปะติฎฐา  โหนติ  ปาณินันติฯ
แปล
ทายกทั้งหลายเหล่าใด, เป็นผู้มีปัญญามีปรกติรู้จักคำพูด ปราศจากตระหนี่ มีใจเลื่อมใสแล้วในพระอริยะเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ตรงคงที่, บริจาคทานทำให้เป็นของที่ตนถวายโดยกาลนิยมในกาลสมัย, 
ทักษิณาของทายกนั้นเป็นคุณสมบัติ มีผลไพบูลย์  ชนทั้งหลายเหล่าใดอนุโมทนา หรือช่วยกระทำการขวนขวายในทานนั้น  ทักษิณาทานของเขามิได้บกพร่องไป ด้วยเหตุนั้น 
ชนทั้งหลายแม้เหล่านั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญนั้นด้วย  เหตุนั้น ทายกควรเป็นผู้มีจิตไม่ท้อถอย, ให้ในที่ใดมีผลมากควรให้ในที่นั้น บุญย่อมเป็นที่พึ่งอาศัยของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า ฉะนี้

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

เกณิยานุโมทะนาคาถา

เกณิยานุโมทะนาคาถา
อัคคิหุตตัง  มุขา  ยัญญา                                          สาวิตติ   ฉันทะโส   มุขัง
ราชา  มุขัง  มะนุสสานัง                                          นะทีนัง  สาคะโร  มุขัง
นักขัตตานัง  มุขัง  จันโท                                        อาทิจโจ  ตะปะตัง  มุขัง
ปุญญะมากังขะมานานัง                                          สังโฆ  เว  ยะชะตัง  มุขังฯ
ภะณิสสามะ  มะยัง  คาถา                                       กาละทานัปปะทีปิกา
เอตา  สุณันตุ  สักกัจจัง                                           ทายะกา  ปุญญะกามิโน ฯ
หมายเหตุ  

แบบนี้  นำ  กาละทานะสุตตะคาถา  ถ้านำ  วิหาระทานะคาถาเปลี่ยนที่ขีดเส้นใต้เป็น  วิหาระทานะทีปิกา


คำแปล

ยัญทั้งหลาย มีการบูชาไฟเป็นหัวหน้า (เป็นใหญ่, เป็นสิ่งเหนือกว่า)สาวิตติฉันท์ เป็นประมุขแห่งฉันทศาสตร์,
พระมหาราช เป็นประมุขแห่งมนุษย์นิกร, สมุทรสาคร เป็นประุมุขแห่งแม่น้ำทั้งปวง,
ดวงจันทร์เป็นประมุขแห่งดาวนักษัตรฤกษ์, ดวงอาทิตย์ เป็นประมุขแห่งของที่มีแสงร้อนทั้งหลาย ฉันใด
สงฆ์ย่อมเป็นประมุขแห่งทายกผู้หวังบุญบำเพ็บทาน ฉันนั้นฯ 
เราจักกล่าวคาุถา แสดงอานิสงส์การให้ตามกาล,
แสดงอานิสงส์การให้ที่อยู่ ขอทายกทั้งหลาย ผู้ต้องการบุญ จงตั้งใจฟังคาถาเหล่านี้เถิดฯ 


๑)ตั้งพัด 
๒)สัพพี 
๓)หัวหน้าสงฆ์นำรูปเดี่ยว *เกณิยานุโมทนาคาถา 
๔)รูปที่สองรับ กาลทานสุตตคาถา (กาเล)ถ้าไม่ใช่วิหารหรือ
๔.๑) กรณีถวาย โบสถ์ วิหาร ฯลฯ จึงเปลี่ยนใช้ วิหารทานคาถา 
๔.๒) หัวหน้าสงฆ์นั่นเองต้องทราบว่า เป็น วิหาร จึงเปลี่ยน ท่อน
กาละทานัปปะทีปิกา เป็น วิหารทานะทีปิกา 
๕)หัวหน้าสงฆ์ถวายอดิเรก 
๖)รูปที่สองนำรับ ภวตุ สพฺพมงฺคลํ ฯลฯ พร้อมกัน เป็นอันเสร็จพิธี น้อมถวายวิสัชชนา