วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บริจาคเพื่อช่วยเหลือสัตว์(๑)

บริจาคเพื่อช่วยเหลือสัตว์(๑)
1.สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย
120 อาคารเกษมกิจ ห้อง 301 ชั้น 3 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ  10500
โทร. 0 2236 2176
info@thaispca.org website :
1.สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย
120 อาคารเกษมกิจ ห้อง 301 ชั้น 3 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ  10500
โทร. 0 2236 2176
info@thaispca.org website : http://www.thaispca.org/    
2. มูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย
65/1 สุขุมวิท 55 คลองตัน วัฒนา กรุงทพฯ 10110
โทร. 02 712 9515, 02 712 9715
http://warthai.org    เปิดรับอาสาสมัครทางเว็บไซค์  
3. มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ ปากเกร็ด
15/1 หมู่ 1 ซ.พระมหาการุณย์ ถ.ติวานนท์ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด นนทบุรี 11000
โทร. 02 584 4896, 02 961 5625
http://www.home4animals.org/
ต้องการอาสาสมัครทำความสะอาดสถานที่ และอาบน้ำให้สัตว์พิการ ให้อาหารน้องหมาน้องแมว ควรติดต่อก่อนทางโทรศัพท์
4. สำนักงานสาขามูลนิธิเพื่อนช้าง รับเงินบริจาค
ณ โรงพยาบาลช้างของมูลนิธิเพื่อนช้าง ในเขตป่าสงวนแม่ยาว
295 หมู่ 6 ถนนลำปาง-เชียงใหม่  (ก.ม. 28-29) ต.เวียงตาล อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง 52190
โทร. 081-914-6113, 054-247-869
fae@elephant-soraida.com 
http://www.elephant-soraida.com/    
5. มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด
ในวัดทุ่งครุ เลขที่ 9 หมู่ที่ 5  ซ.ประชาอุทิศ 84 ถ.ประชาอุทิศ แขวง/เขตทุ่งครุ กทม.10140
โทร. 02-463-9283-4
http://www.2fsd.org/        
หรือที่ศูนย์ประสานงาน มูลนิธิเพื่อการรักษาสุนัขจรจัด  ศูนย์ประสานงาน.02-746-6498
6. โครงการรักษ์สัตว์ รักษ์สังคม   
โรงเรียนชลบุรี 'สุขบท' ตำบลบางทราย อำเภอเมือง จังหวัด ชลบุรี 20000
อาจารย์ ชะบา อ่อนนาค 084 086 8858
http://luktarn.com
www.facebook.com/raksat"
เปิดรับอาสาสมัครช่วงที่มีค่ายสำหรับเด็ก 
7. มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย (Soi Dog Foundation)
c/o John Dalley,57/61 Moo 4, Srisoonthorn Road, Cherngtalay, Amphur Talang, Phuket ,83110
โทร. 081 788 4222    
info@soidog.org 
  http://www.soidog.org
โทรแจ้งล่วงหน้าว่าจะทำงานอาสาสมัคร วัน เวลาไหน มีงานอาสาสมัครเช่น อาบน้ำ เก็บเห็บหมัด เป็นต้น
8. ป้าสำรวย- ป้าอนงค์  นครนายก "สุนัข 1000 ตัว แมว 500 ตัว"
วัดโปร่งไผ่จันทรังสี หมู่ 13 ต.เขาเพิ่ม อ.บ้านนา จ. นครนายก"   
โทร. 089 213 6744    
ไม่กล้าให้อาสาสมัครมาช่วยเพราะกลัวหมากัด รับบริจาคเงิน แต่หากเป็นผู้เชี่ยวชาญ เช่นสัตวแพทย์จะยินดีมาก
9. ป้านิดาและลุงสัญญา รสรื่น    โทร. 081 612-8334
รับบริจาคเงิน ไม่กล้าให้ใครช่วย กลัวทำไม่ได้  
10. ป้ามาลี เลี้ยงสุนัขบริเวณคอนโดเมืองทองธานี โทร. 089 478 9188
รับบริจาคเงิน เลี้ยงหมาข้างถนน ทำหมัน
บริจาคได้ที่ เลขบัญชี 027-2-41763-6 ธนาคารกสิกรไทย สาขาเสือป่า ชื่อบัญชีนางสาวชุติกาญจน์ จุนแสงจันทร์  
11.เกาะสุนัข (ป้าตุ่นและป้ารื่น)
รับบริจาคช่วยเหลือสุนัข ที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาอ้อมน้อย เลขบัญชี 732 118 2223"   
โทร. 086 166 4098 ป้าตุ่น หรือ 086 834 2032 ป้ารื่น"          
12. โรงพยาบาลช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย
"ตู้ ป.ณ. 2 อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง 52190"   
โทร. 054 247 874 หรือ 054 228 108"   
http://www.elephanthospital.com/  
หรือบริจาคได้ที่ "ธนาคารกรุงไทย สาขา ประตูชัย จ.ลำปาง เลขที่บัญชี 536 1 555959"  
13. กองทุนฟื้นฟูนกเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ สมาคมอนุรักษ์นก
173/9 ซอยพหลโยธิน44 (44/1แยก3) ถ.พหลโยธิน แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900    
โทร. 02-940-1082, 02-940-1083
14. เครือข่ายอนุรักษ์ช้าง
37/1 หมู่ 8 ต. แก่งเสี้ยน อ. เมือง กาญจนบุรี
โทร. 089 836 7533 (คุณรุ่ง)
http://www.ecn-thailand.org   
"รับอาสาสมัคร แต่ต้องมีทักษะ ทางด้านการจัดกิจกรรมพิเศษเช่น ศิลปะเพื่อช้าง  และอนุรักษ์สัตว์ป่า "  
15. มูลนิธิพาช้างกลับบ้าน   
หมู่บ้านในฝัน 1  135/31  ถ.มหิดล ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50100
โทร. 053 272 571 083 566 5223,คุณติ๊ก 083 040 3410
dutsadee.nilubol@bring-the-elephant-home.org   
http://www.bring-the-elephant-home.nl/th/   
มีกิจกรรมปลูกป่า และดูแลช้างที่แม่แตงและสุรินทร์  
16. มูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก
ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนน พระราม 6 กรุงเทพ ฯ 10400
โทร. 02 201 5532
scpps@mucc.mahidol.ac.th
http://thaihornbill.org.www.readyplanet5.com/
17. ป้าสุภา ศรีสมุทร จ.ภูเก็ต
310/16 ม.1 ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง จ.ภูเก็ต 83110
โทร : 087-3862733, 081-3406127
มีสุนัขและแมวรวมกันประมาณ100ตัว   
ชื่อบัญชีออมทรัพย์ สุภา ศรีสมุทร
เลขที่บัญชี 184-2-39-0863 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาถลาง จ.ภูเก็ต
18. กลุ่มอนุรักษ์เขาแผงม้า (กลุ่มกล้วยป่า)
38 หมู่ 15 ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา 30370
โทร. 084-823-3230 คุณบี       
yongyutwft@hotmail.com
19. ชมรมฅนรักษ์ช้างป่า
61 ชั้น 7 กลุ่มงานวิจัยสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ตึกไพโรจน์สุวรรณากร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพ 10900   
สมัครสมาชิก ""ชมรมฅนรักษ์ช้างป่า""
- ติดต่อชมรมฅนรักษ์ช้างป่า แจ้งข่าว ประชาสัมพันธ์
info@wildelephantlover.com
- บริจาค สนับสนุนกิจกรรมชมรม

http://www.wildelephantlover.com/

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ปริจเฉทที่ ๓

ปริจเฉทที่ ๓
คัพภานิกขมนปริวรรต

การประสูติของพระโพธิสัตว์

ในกาลนั้น เป็นวันอาสาฬหปุรณมีเพ็ญเดือน ๘ มีอาสาฬหนักษัตฤกษ์ มหาชนชาวกรุงกบิลพัสดุ์ ชวนกันเล่นนักษัตฤกษ์เอิกเกริกไปทั่วพระนคร ขณะนั้นพระสิริมหามายาเทวีจำเดิมแต่ก่อนอาสาฬปุรณมี ๗ วันนั้น ทรงซึ่งสุคนธวิเลปนะเสวยสิริสุขาภิรมย์ในกิจอันเล่นนักษัตฤกษ์

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ปริจเฉทที่ ๒

ปริจเฉทที่ ๒
ดุสิตปริวรรต
พระโพธิสัตว์รับเชิญจุติจากภพดุสิต
สมเด็จพระผู้มีพระภาค ทรงพระมหากรุณาแก่สัตว์โลก ปรารถนาจะรื้อสัตว์ให้พ้นจากห้วง
มหรรณพสงสาร แลละเสียซึ่งจักรพรรดิราชสมบัติอันจะมาถึงใน ๗ วัน มิได้ทรงพระอาลัย ดุจก้อนเขฬะอัน
ข้องอยู่ในปลายพระชิวหา พระหฤทัยปรารถนาจะถือเอาซึ่งผล คือพระสัพพัญํุตญาณในไม้กัลปพฤกษ์ คือ

พระสมดึงสบารมี มีดอกอันบานคือเบญจมหาบริจาค แลตั้งอยู่เหนือภูมิภาค กล่าวคือไตรพิธสมบัติทั้งสาม
พระพุทธเจ้าของพวกเราทรงตั้งความปรารถนา
และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งสมัยพระพุทธทีปังกรเจ้า
จึงมีคําปุจฉาว่า กิริยาที่พระสัพพัญํูปรารถนาพระสัพพัญํุตญาณเป็นดังฤา? วิสัชนาว่าพระบรมโพธิสัตว์แห่งเรา เมื่ออดีตภพที่สุด ๔ อสงไขยแสนกัป นับถอยหลังไปแต่มหาภัทกัปนี้ บังเกิดเป็นพระสุเมธดาบสได้พบพระพุทธทีป๎งกรเจ้า แลละเสียซึ่งพระอรหัตอันจะบรรลุในสํานักพระพุทธองค์โดยแท้ ปรารถนาพระสัพพัญํุตญาณและได้พุทธพยากรณ์แล้ว ทรงบําเพ็ญเบญจมหาบริจาคแลพระสมดึงสบารมีมีทานเป็นต้น ในชาติกันดารอันจะนับจะประมาณมิได้พระอรรถกถาจารย์จึงกล่าวสรรเสริญพระบารมีโดยสารพระคาถาว่า ทาน   สีลญฺจ  เนกฺขมฺม เป็น
อาทิ อรรถาธิบายความว่า ด้วยบารมี ๑๐ ทัศ แลพระบรมโพธิ์สัตว์ทรงบําเพ็ญพระสมดึงสบารมีทั้งปวง คือ

พระทศบารมี ๑๐ พระทศอุปบารมี ๑๐ พระทศปรมัตถบารมี ๑๐ แลปลูกซึ่งบุญพีชนะจะบริโภคซึ่งผล ยังฉายาแห่งกุศลพฤกษ์ให้ร่มเย็นแก่มหาชนทั้งหลาย ครุวนาดุจปลูกซึ่งอัมพพฤกษ์
บารมี ๓๐ ครบถ้วนสมัยเป็นพระเวสสันดร
พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวนัยอุปมาด้วยพระคาถาว่า ตเถวส สารปเถ  ชนาน เป็นอาทิ
อรรถาธิบายความว่า ชนทั้งหลายใดๆ จะนําไปซึ่งทรัพย์แลองค์แลชีวิตแห่งพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์บมิได้เอื้อเฟื้อแก่พระองค์ ทรงบําเพ็ญซึ่งมูลปณิธิกุศลจนสําเร็จดุจใด ด้วยพระทัยปรารถนาจะให้เป็นประโยชน์แก่นรชนทั้งหลาย อันท่องเที่ยวอยู่ในสงสารมรรคาดุจนั้น แต่พระองค์ให้พระโลหิตเป็นทานก็มากกว่ากระแสน้ำในมหาสาครทั้ง ๔ แต่ให้พระมังสะเป็นทาน ก็อาจยังพื้นแผ่นมหาปฐพีให้พ่ายแพ้ แต่ตัดพระเศียรกับทั้งพระเกศโมลีให้เป็นทาน ก็ประมาณสูงกว่าเขาพระสิเนรุราช แต่ควักพระเนตรให้เป็นทาน ก็มากกว่าดวงดาราในนภากาศ แลจําเดิมแต่บําเพ็ญกฤษฎาภินิหาร แต่บาทมูลสมเด็จพระพุทธทีป๎งกรเป็น

ต้น แต่บําเพ็ญพระสมดึงสบารมีมาสําเร็จลงในชาติเป็นพระเวสสันดรนั้น
ทรงได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์
ได้อานิสงส์ ๑๘ ประการ

บัดนี้ จะรับพระราชทานแทรกความเข้าให้พิสดาร ตามพระบาลีในคัมภีร์ชินมหานิทานว่า สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคแห่งเราได้พยากรณ์ในสํานักพระสัพพัญํูพุทธเจ้าทั้ง ๒๔ พระองค์ มีพระพุทธทีป๎งกรเป็นต้น จนพระพุทธกัสสปเป็นปริโยสาน และทรงก่อสร้างกฤษฎาภินิหารมาได้ซึ่งอานิสงส์เป็นอันมาก จึงมีคําปุจฉาว่า อานิสงส์แห่งองค์พระบรมโพธิสัตว์นั้นเป็นดังฤา? วิสัชนาโดยพระคาถาว่า เอว  สพฺพงฺคสมฺปนฺนา เป็นอาทิ แปลเนื้อความว่า นรชาติทั้งหลายบริบูรณ์ด้วยบารมีทั้งปวง เที่ยงที่สําเร็จแก่ พระโพธิญาณ แลสังสรณาการไปในสังสารวัฏนับด้วย ๑๐๐ โกฏิเป็นอันมาก ได้ซึ่งอานิสงส์ คือเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ไม่เป็นคนจักษุบอดแต่กําเนิด ๑ ไม่เป็นคนหนวกแต่กําเนิด ๑ ไม่เป็นคนบ้า ๑ ไม่เป็นคนใบ้ ๑ ไม่เป็นคนเปลี้ย ๑ ไม่เกิดในมิลักขประเทศ ๑ ไม่เกิดในท้องแห่งทาสี ๑ ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ ๑ เพศไม่กลับเป็นสตรี ๑ ไม่ทําอนันตริยกรรมห้า ๑ ไม่เป็นโรคเรื้อน ๑ เมื่อเกิดในกําเนิดแห่งสัตว์เดียรัจฉานกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และไม่ใหญ่กว่าช้าง ๑ ไม่เกิดในขุปปิปาสิกเปรตแลนิชฌามตัณหิกเปรต แลกาลกัญชิกาสูร ๑ ไม่เกิดในอวีจิมหานรกแลโลกันตริกนรก ๑ เมื่อเกิดในกามาพจรไม่เป็นมาร ๑ เมื่อเกิดในรูปาพจรภพไม่เกิดในสุทธาวาสภพ ๑ ไม่เกิดในอรูปภพ ๑ ไม่ย่างก้าวไปสู่จักรวาฬอื่น ๑ เมื่อบังเกิดเป็นมนุษย์ในภพใดๆ ก็มีพระทัยยินดีที่จะบรรพชา แลประพฤติในจริยาทั้ง ๓ มีญาตัตถจริยาเป็นอาทิ แลทรงบําเพ็ญพระบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ มีพระทานบารมีเป็นต้น พระอุเบกขาบารมีเป็นที่สุด
ตัวอย่างการบำเพ็ญบารมี ๓ ระดับของพระโพธิสัตว์
พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาว่า ทเสว ปารมี โหนฺติ เป็นอาทิ แปลเนื้อความว่า กิริยาที่ทรงสั่งสมพระบารมีเพื่อประโยชน์แก่พระโพธิญาณจัดเป็นสิ่งละ ๓ ประการ คือพระบารมี ๑๐ แลอุปบารมี ๑๐ แลปรมัตถบารมี ๑๐ แลทรงบําเพ็ญทานในชาติเป็นเวลาพราหมณ์เป็นอาทินั้น จัดเป็นทานบารมี ทรงควักพระเนตรให้เป็นทานในชาติเป็นพระยาสีวิราชนั้น จัดเป็นทานอุปบารมี ทรงสละชีวิตให้เป็นทานในชาติเป็นพญาสสบัณฑิตนั้น จัดเป็นทานปรมัตถบารมีทรงบําเพ็ญศีล ในชาติเป็นพญาสีลวกุญชรราชนั้น จัดเป็นสีลบารมี ในชาติเป็นพญาภูริทัตนาคินทรราชนั้น จัดเป็นสีลอุปบารมี ในชาติเป็นพญาสังขบาลนาคราชนั้น จัดเป็นสีลปรมัตถบารมีทรงบําเพ็ญเนกขัมบรรพชา ในชาติเป็นพระอโยฆรราชกุมารนั้น จัดเป็นเนกขัมบารมี ในชาติเป็นพระหัตถิปาลกุมารนั้น จัดเป็นเนกขัมอุปบารมี ในชาติเป็นพระยาจุลสุตโสมราชนั้น จัดเป็นเนกขัมปรมัตถบารมี  ทรงพระปรีชาญาณในชาติเป็นสัมภวกุมาร จัดเป็นป๎ญญาบารมี ในชาติเป็นวิธุรบัณฑิตอมาตย์จัดเป็นป๎ญญาอุปบารมี ในชาติเป็นเสนกบัณฑิตพราหมณ์ จัดเป๋นป๎ญญาปรมัตถบารมีทรงพระวิริยภาพในชาติเป็นพญามหากระปิราช จัดเป็นวิริยบารมี ในชาติเป็นพระยาสีลวมหาราช จัดเป็นวิริยอุปบารมี ในชาติเป็นพระยามหาชนกราช จัดเป็นวิริยปรมัตถบารมี ทรงพระขันติธรรม ในชาติเป็นพระจุลธรรมบาลราชกุมาร จัดเป็นขันติบารมี ในชาติเป็นพระธรรมิกเทวบุตร จัดเป็นขันติอุปบารมี ในชาติเป็นพระขันติวาทีดาบส จัดเป็นขันติปรมัตถบารมีทรงกระทําสัจกิริยา ในชาติเป็นสกุณโปฎกนกคุ่มนั้น จัดเป็นสัจบารมี ในชาติเป็นพญามัจฉาปลาช่อนนั้น จัดเป็นสัจอุปบารมี ในชาติเป็นพระยามหาสุตโสมราช จัดเป็นสัจปรมัตถบารมี ทรงกระทําอธิฏฐาน ในชาติเป็นพญากุกกุรราช จัดเป็นอธิฏฐานบารมี ในชาติเป็นมาตังคจัณฑาล  บัณฑิต จัดเป็นอธิฏฐานอุปบารมี ในชาติเป็นมูคผักกบัณฑิตคือพระเตมิยราชกุมารนั้น จัดเป็นอธิฏฐานปรมัตถบารมีทรงเจริญพระเมตตา ในชาติเป็นสุวรรณสามดาบส จัดเป็นเมตตาบารมี ในชาติเป็นพระกัณหาทีปายนดาบส จัดเป็นเมตตาอุปบารมี ในชาติเป็นพระยาเอกราช จัดเป็นเมตตาปรมัตถบารมีทรงประพฤติอุเบกขาในชาติเป็นกัจฉปบัณฑิต จัดเป็นอุเบกขาบารมี ในชาติเป็นพญามหิสราชจัดเป็นอุเบกขาอุปบารมี ในชาติเป็นโลมหังสบัณฑิต จัดเป็นอุเบกขาปรมัตถบารมี

สิริเป็นสมดึงสบารมี ๓๐ ทัศบริบูรณ์มิได้ยิ่ง
สมัยเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรพระบารมีครบถ้วน
จุติแล้วอุบัติในดุสิตเทวโลก
แลในชาติเป็นพระเวสสันดรนั้น ทรงบําเพ็ญพระบารมีทั้ง ๑๐ พร้อมทุกประการมิได้เศษ แลกาลเมื่อพระชนมายุได้ ๘ พระพรรษา มีพระทานัธยาศัยดําริจักให้อัชฌัตติกทาน แลกาลเมื่อพระราชทานเศวตกุญชรป๎จจัยนาค แลกาลเมื่อทรงปริจาคสัตตสดกมหาทาน แลกาลเมื่อต้องป๎พพาชานียกรรมออกจากพระนคร แลกาลเมื่อบริจาคบุตรทานแลภริยาทาน แลกาลเมื่อสมาคมแห่งหกกษัตริย์ในท้องคิรีวงกต มหาปฐพีก็กัมปนาททุกครั้งถ้วนถึงคํารบ ๗ ครั้งเป็นมหามหัศจรรย์ เหตุนั้นจึ่งตรัสพระสัทธรรมเทศนาไว้ในคัมภีร์จริยาปิฎกด้วยบาทพระคาถาว่า อเจตนาย  ปฐวี เป็นอาทิ อรรถาธิบายก็คล้ายกับความหลัง ทรงบําเพ็ญพระสมดึงสบารมีบริบูรณ์ในชาติเป็นพระยามหาเวสสันดร เบื้องหน้าแต่นั้นก็เป๐นป๎จฉิมภวิกชาติได้ตรัสแก่พระสัพพัญํุตญาณสําเร็จพุทธภูมิบารมีแลในชาติเป็นพระเวสสันดรนั้น กาลเมื่อวันประสูติ ตรัสแก่พระมารดาว่าจะบําเพ็ญทาน แลทรงบริจาคมหาทานทั้งหลาย ดุจนัยพรรณนามาแล้วจัดเป็นพระทานบารมี แลกาลเมื่อทรงสถิตอยู่ในฆราวาสทรงรักษาเบญจางคิกศีลเป็นนิจแลรักษาอุโบสถศีลทุกๆ กึ่งเดือน จัดเป็นพระสีลบารมี กาลเมื่อเสด็จออกจากพระนครสละเสียซึ่งกามคุณ ทรงบรรพชาเป็นดาบสอยู่ในอรัญประเทศนั้น จัดเป็นพระเนกขัมบารมีกาลเมื่อทรงพระดําริจักให้อัชฌัตติกทานแต่ยังสถิตอยู่ในทารกภูมิ แลเมื่อพระราชทานสองพระโอรสแก่ชูชกพราหมณ์กอปรด้วยพระวิจารณญาณ บรรเทาเสียซึ่งความรักแลความโศกแต่บุตรวิโยคนั้นจัดเป๐นพระป๎ญญาบารมี กาลเมื่อเสด็จดํารงราชสมบัติทรงพระอุตสาหะเสด็จออกสู่ฉทานศาลาทุกๆ กึ่งเดือนมิได้ขาด แลกาลเมื่อออกทรงพาหิรบรรพชา อุตสาหะบูชาเพลิง เพื่อจักบํารุงซึ่งเตโชกสิณภาวนานั้น จัดเป๐นพระวิริยบารมี กาลเมื่อพระราชบิดาตรัสสั่งให้นฤเทศพระองค์เสียจากพระนครด้วยคําชาวสีวิราษฎร์ยกโทษมิได้มีความพิโรธในพระราชบิดร แลกาลเมื่อพราหมณ์ตีพระโอรสทั้งสองอดกลั้นเสียซึ่งความโกรธในพราหมณ์ จัดเป็นพระขันติบารมีกาลเมื่อตรัสปฏิญาณจะให้อัฐิทานแลบุตรแก่พราหมณ์ แล้วก็ทรงเสียสละบริจาคให้โดยสัตย์ มิได้ตรัสกลับกลอกล่อลวงนั้น จัดเป็นพระสัจบารมี กาลเมื่อทรงพระสมาทานมั่นมิได้กระทําในพระทัยเสน่หาอาลัยในพระราชบุตรอันทรงสละให้เป็นทาน แลกาลเมื่อทอดพระเนตรเห็นหมู่สกเสนา สําคัญว่าข้าศึกสะดุ้งแต่มรณภัย พระมัทรีทูลเล้าโลมพระทัยแล้วเสด็จลงจากยอดบรรพตกระทําพระทัยมั่น มิได้หวั่นไหวแต่ภัยนั้น จัดเป็นพระอธิฏฐานบารมีกาลเมื่อแผ่พระเมตตาไปแก่ชาวกลึงคราษฎร์ พระราชทานกุญชรทาน แลกาลเมื่อสถิตในวงกตแผ่พระเมตตาทั่วไปแก่สรรพสัตว์จตุบททวิบาทนั้น จัดเป็นพระเมตตาบารมี กาลเมื่อตัดเสียซึ่งเสน่หาในพระปิยบุตรแลมิได้โกรธแก่พราหมณ์ ตั้งพระทัยเป๐นมัชฌัตตารมณ์ท่ามกลางไม่รักไม่ชังแก่ผู้ใดนั้น จัดเป็นพระอุเบกขาบารมีแลพระมหาบุรุษบําเพ็ญพระบารมีสําเร็จในชาติเป็นพระเวสสันดรนั้น ครั้นสิ้นพระชนมายุก็จุติไปบังเกิดเป็นสันดุสิตเทวราช เสวยทิพยสมบัติอยู่ในชั้นดุสิตเทวโลกกําหนดอายุถึง ๕๗ โกฏิกับ ๖๐ แสนปีในมนุษย์นี้ นับเป็นปีในชั้นดุสิตได้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์มิได้หย่อน
เมื่อบารมีครบถ้วนแล้ว
จึงทรงอยู่ในดุสิตภพครบ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์

       บัดนี้จะได้รับพระราชทานถวายวิสัชนา ตามเรื่องความในดุสิตปริวรรคเดิมนั้นสืบต่อไปในลําดับนี้พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาซ้ําสรรเสริญพระบารมีอีกสองบทว่า คมฺภีรปารทานาทิ เป็นอาทิอรรถาธิบายว่า พระมหาสัตว์ทรงบําเพ็ญพระบารมีทั้ง ๑๐ มีทานเป๐นต้นเหมือนดุจฝ๎งมหาสาครอันลึก ทรงว่ายข้ามด้วยกําลังถึงฝ๎งสงสารมหรรณพด้วยบริจาคภริยาทานคือพระมัทรี ยังพระทศบารมีให้สําเร็จแล้วเสด็จสถิตในดุสิตเทวพิภพบรรลุซึ่งกาลอันแก่กล้าแห่งพระโพธิญาณ เทพยดาทั้งหลายจึงอาราธนาให้จุติลงสู่พระครรภ์แห่งพระพุทธมารดาในป๎จฉิมชาตินั้นแท้จริง พระมหาบุรุษราชเจ้าเบื้องว่าบําเพ็ญพระบารมียังมิได้บริบูรณ์ แม้ถึงจะบังเกิดในดุสิตเทวโลก ก็มิได้สถิตอยู่จนตราบเท่าสิ้นพระชนมายุเหตุฤา? เหตุใดในเทวพิภพนั้นยากที่จะบําเพ็ญพระบารมีให้บริบูรณ์ได้ ย่อมกระทําอธิมุตตกาลกลั้นพระทัยให้วายชีพจุติลงมาเกิดในมนุษยโลกจะได้สืบสร้างพระบารมีให้บริบูรณ์ ในกาลครั้งนั้น พระบารมีนั้นแก่กล้าบริบูรณ์อยู่แล้ว อาจสามารถจะได้ตรัสแก่พระสัพพัญํุตญาณในอนันตรภพเป็นแท้ จึงเสด็จสถิตอยู่ในดุสิตเทวโลกตราบเท่าถ้วนกําหนดชนมายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์
สุทธาวาสพรหมแจ้งข่าวแก่มนุษย์ว่าอีกแสนปี
พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ เกิดพุทธโกลาหล

ล้ำโกลาหล ๕ ประการอันมีในโลก คือ กัปโกลาหล ๑ พุทธโกลาหล ๑ จักรวรรดิโกลาหล ๑ มงคล  โกลาหล ๑ โมไนยโกลาหล ๑ ในกาลนั้น สุทธาวาสมหาพรหมทั้งหลายประดับซึ่งพรหมอาภรณ์อันเป็นทิพย์ ลงมาเที่ยวทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุอุโฆษณาการซึ่งเหตุแห่งพุทธโกลาหลแก่มนุษย์ว่า ดูกรท่านทั้งหลายผู้นฤทุกข์ เบื้องหน้าแต่นี้ล่วงไปอีกแสนปี พระสัพพัญํูจะบังเกิดในโลกถ้าจะใคร่พบเห็นจงเว้นจากเบญจพิธเวรทั้ง ๕ อุตส่าห์บําเพ็ญทานรักษาศีลเจริญภาวนา กระทําการกุศลต่างๆเหตุดังนั้น เทพยดาแลพรหมทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ ได้สดับซึ่งพุทธโกลาหลดังนี้จึงสโมสรสันนิบาตปรึกษาแก่กันว่าสัตว์ผู้ใดหนอจะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูในโลก
หมู่เทพรู้ว่าสันตุสิตเทพบุตรจะเป็นพระพุทธเจ้า
จึงเข้าเฝ้าทูลเชิญจุติ
ครั้นลุกาลแสนปีล่วงไป ป๎ญจบุพนิมิตทั้ง ๕ ก็บังเกิดมีแก่พระมหาสัตว์ คือทิพยบุปผาที่ประดับพระกายนั้นเหี่ยวแห้ง ๑ ทิพยพัสตรภูษาที่ทรงนั้นมีสีอันเศร้าหมอง ๑ พระเสโทบังเกิดไหลออกจากพระกัจฉประเทศ ๑ พระสรีรกายกอปรด้วยอาการชราปรากฏ ๑ มีพระทัยพระสันเป็นทุกข์เหนื่อยหน่ายจากเทวโลกมิได้มีความยินดีที่จะสถิตย์ในทิพยอาสน์นั้น ๑
เมื่อป๎ญจบุพนิมิตบังเกิดแก่พระมหาสัตว์ดังนี้ เทพยเจ้าทั้งหลายก็รู้แจ้งประจักษ์ว่าสันตุสิตเทวราชองค์นี้ คือองค์พระสัพพัญญูโพธิสัตว์อันจะได้ตรัสในโลกเป็นแท้ แลท้าวมหาพรหมทั้งหมื่นจักรวาฬกับฉกามาพจรเทวราชทั้ง ๖ ชั้น แลท้าวจาตุมหาราชจักรวาฬละสี่ๆ สิริเป็นท้าวมหาราช ๔ หมื่นพระองค์

แลเทพยดาทั้งหลายอันเศษชวนกันมาสันนิบาตในมงคลจักรวาฬนี้ พาเอาเทพยเจ้าในจักรวาลนี้มีสมเด็จอมรินทราธิราชเป็นอาทิไปสู่ดุสิตเทวโลก เข้าสู่ทิพยวิมานแห่งพระโพธิสัตว์กราบทูลอาราธนา เหตุดังนั้น พระสัพพัญญูเมื่อได้ตรัสรู้แล้วจึงบัณฑูรพระคาถาสำแดงเหตุในหนหลังว่า ยทา ห ตุสิเต กาเย เป็นอาทิ แปลเนื้อความว่า กาลเมื่อตถาคตเป็นสันตุสิตเทวราชอยู่ในดุสิตเทวโลก เทพยบรรษัทมาทูลอาราธนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีเพียรเป็นอันมาก กาลบัดนี้สมควรที่พระองค์จะจุติลงไปบังเกิดในมาตุคัพโภทร จะได้ขนข้ามสัตวนิกรในมนุษยโลกกับทั้งเทวโลกให้พ้นจากโอฆสงสารวัฏ ให้ได้ตรัสรู้ซึ่งทางปฏิบัติอันจะเข้าสู่พระอมตมหานฤพาน แล้วมีคำอธิบายสืบต่อไปว่าเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาฬ มายกขึ้นซึ่งทศนขสโมธานสมุชลิตอัญชลีทูลอาราธนาวิงวอนพระมหาบุรุษราชเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ พระองค์ทรงบำเพ็ญพระทศบารมีมา ใช่จะปรารถนาซึ่งสักกสมบัติแลมารสมบัติ พรหมสมบัติแลจักรวรรดิสมบัตินั้นหามิได้ ตั้งพระทัยปรารถนาซึ่งภาวะจะตรัสเป็นพระสัพพัญญูจะกู้ขนสัตวโลกให้บรรลุพระอมตมหานฤพาน เหตุดังนั้น กาลบัดนี้ก็เป็นสมัยเพื่อประโยชน์ จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้โปรดสัตว์โลกในครั้งนี้
สันตุสิตเทพทรงใคร่ครวญอันยิ่งใหญ่ ๕ ประการ
ในลำดับนั้น สมเด็จพระมหาสัตว์ยังมิได้รับปฏิญาณแก่เทพยนิกรอันมาทูลอาราธนา ทรงพิจารณาดูซึ่งป๎ญจมหาวิโลกนะทั้ง ๕ ประการ ด้วยสามารถทรงกำหนดซึ่งกาลแลทวีป แลประเทศ และตระกูลกับทั้งพระมารดา
แลพิจารณาดูซึ่งกาลทั้งนั้นเป็นปฐมว่า กาลเมื่ออายุแห่งสัตว์ในมนุษยโลกเจริญมากขึ้นไปกว่าแสนปีก็ใช่กาลที่พระสัพพัญญูจะบังเกิดในโลกเหตุฤา? เหตุว่า สัตว์ทั้งหลายจะมิได้รู้ซึ่งชาติ ชรา มรณะ มากไปด้วยความประมาทในสันดาน เบื้องว่าพระศาสดาจารย์จะตรัสเทศนาซึ่งพระไตรลักษณ์ก็จะไม่สำคัญสัญญาที่จะสดับจักมิได้เชื่อฟ๎ง อภิสมัยมรรคผลก็จักมิได้บังเกิด พระพุทธศาสนาก็จะมิได้เป็นนิยานิกธรรม เหตุดังนั้นจึงใช่กาลที่พระพุทธเจ้าจะบังเกิดในโลก ประการหนึ่ง กาลเมื่ออายุสัตว์ลดถอยน้อยลงไปกว่า ๑๐๐ ปี ก็ใช่กาลที่พระสัพพัญญูจะบังเกิดในโลก เหตุฤา? เหตุว่าสัตว์ทั้งหลายในกาลนั้นมีสันดานหนาไปด้วยกิเลส จะมิได้ตั้งอยู่ในพุทธานุศาสนกถา ครุวนาดุจเอาท่อนไม้ขีดลงในน้ำพลันที่จะอันตรธานมิได้ปรากฏ เหตุดังนั้นใช่กาลที่พระสุคตจะบังเกิดในโลก แลกาลเมื่ออายุสัตว์ตั้งอยู่จำเดิมแต่แสนปีลงมาตราบเท่ากำหนด ๑๐๐ ปี จะมีสันดานสดับรับรสพระสัทธรรมควรแก่กาลที่พระสัพพัญญูจะบังเกิดในโลก เมื่อพระมหาสัตว์ทรงพิจารณาเห็นอายุสัตว์ในกาลนั้นตั้งอยู่ ๑๐๐ ปีเป็นกำหนดเห็นสมควรที่จะจุติลงไปบังเกิด
แล้วทรงพิจารณาดูซึ่งทวีปทั้ง ๔ เห็นทวีปทั้ง ๓ มิได้เป็นที่บังเกิดแห่งพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมบังเกิดแต่ในชมพูทวีปอันเดียวทุกๆ พระองค์
แล้วทรงพิจารณาซึ่งประเทศสืบต่อไป เห็นในมัชฉิมประเทศเป็นที่บังเกิดแห่งพระอริยเจ้าทั้งปวง มีพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเป็นอาทิ อนึ่ง สมเด็จบรมจักรพรรดิแลกษัตริย์พราหมณ์คหบดีมหาศาล มเหสักข์ที่มีบุญมาก ก็ล้วนบังเกิดแต่ในมัชฌิมประเทศนั้นทั้งสิ้น จะได้บังเกิดในประจันตประเทศทั้งปวงนั้นหามิได้ และกรุงกบิลพัสดุ์ประดิษฐานอยู่ในที่ภูมิภาคแห่งมัชฌิมประเทศ ควรที่อาตมาจะบังเกิดในพระนครนั้น
แล้วทรงพิจารณาดูซึ่งตระกูลสืบไปว่า ธรรมดาพระสัพพัญญูเจ้า จะได้บังเกิดในตระกูลเศรษฐี คหบดีแลพ่อค้าพ่อครัวนั้นหามิได้ ย่อมบังเกิดในตระกูลทั้งสองคือ ขัตติยตระกูล ๑ แลพราหมณตระกูล ๑ อันโลกสมมตินับถือว่าประเสริฐ กาลบัดนี้โลกสมมติว่าตระกูลกษัตริย์ประเสริฐกว่าตระกูลพราหมณ์ ควรที่อาตมะจะบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ แลสมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนมหาราชนั้นจะเป็นบิดาแห่งอาตมา

แล้วทรงพิจารณาดูซึ่งพระชนนีสืบไปว่า ธรรมดาพุทธมารดาซึ่งจะเป็นสตรีมีสันดานอันต่ำช้าชาติโลเลต่างๆ มีเป็นนักเลงสุราเป็นอาทินั้นหามิได้ ย่อมบำเพ็ญพระบารมีมาถึงแสนกัปบริบูรณ์ จำเดิมแต่บังเกิดมาก็รักษาเบญจศีลบริสุทธิ์มิได้ด่างพร้อยเป็นนิจกาล ทอดพระเนตรเห็นพระสิริมหามายาราชเทวี พระอัครมเหสีกรุงสิริสุทโธทนมหาราช มีพระบารมีครบแสนกัปบริบูรณ์แล้ว ทรงรักษาเบญจศีลาจารวัตรอันบริสุทธิ์ พระราชเทวีองค์นี้จะเป็นพระมารดาแห่งอาตมา
ทรงรับคาอาราธนาจุติจากเทวดา ปฏิสนธิในพระครรภ์พระสิริมหามายา
เมื่อทรงพิจารณาซึ่งป๎ญจมหาวิโลกนะทั้ง ๕ บริบูรณ์แล้วก็กระทำสงเคราะห์แก่เทพยดาทั้งปวง โปรดประทานปฏิญาณว่า ดูกรท่านทั้งหลายผู้นฤทุกข์ กาลนี้ควรที่อาตมาจะจุติลงไปบังเกิดเป็นพระสัพพัญํูโปรดสัตวโลกทั้งปวง ท่านทั้งหลายจงกลับไปสู่นิวาสฐานแห่งตนๆ เถิด
เมื่อส่งเทพยเจ้าทั้งหลายไปสิ้นแล้ว ก็เสด็จแวดล้อมด้วยเทพยบริวารไปสู่ทิพยนันทวันอุทยาน อันมีในดุสิตเทวโลก เสด็จเที่ยวประพาสชมซึ่งทิพยพฤกษชาติมีพรรณต่างๆ เทพยบริวารทั้งหลายกราบทูลตักเตือนว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ ขออัญเชิญเสด็จพระองค์จงจุติจากดุสิตเทวโลกนี้เถิด จงไปบังเกิดในมนุษย์สุคติจะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญํูโปรดสัตวโลก แล้วก็ทูลสรรเสริญสรรพกุศลซึ่งทรงบำเพ็ญสั่งสมมาแต่ก่อน สมเด็จพระมหาสัตว์ก็จุติในทิพยอุทยานนั้น ลงมาสู่ปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระสิริมหามายาราชเทวี พระอัครมเหสีแห่งพระเจ้าสุทโธทนมหาราชกรุงกบิลพัสดุ์ เหตุดังนั้น พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวนิคมคาถาในที่สุดปริเฉทว่า กตญฺชลีหิ เทวหิ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความก็ซ้ำเหมือนนัยถวายวิสัชนามาแล้วแต่หลังฯ

ดุสิตปริวรรต ปริจเฉทที่ ๒ จบ

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปฐมสมโพธิกถา

ปฐมสมโพธิกถา
คัดลอกจาก สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงแปลจากภาษาบาลี  ผู้แต่ง  ไม่ทราบว่าผู้ใดแต่ง  จากผู้คัดลอกขอแก้บางส่วนให้อ่านง่ายตามยุคสมัย
บทที่หนึ่ง
งานมงคลแต่งงานที่ผ่านไป
พระเจ้าสุทโธทนะอภิเษกสมรสกับพระนางสิริมหามายา
ปฐมกษัตริย์ “มหาสมมติวงศ์”
ดังที่เราได้รู้ว่า ในต้นกัปนี้  พระพุทธเจ้าพระโคดมในศาสนาของเรา เกิดเป็นพระราชาองค์แรกของตระกูลพระราชาที่เป็นสมมติเทพ  เป็นพระมหาจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้  พระโอรสทรงพระนามว่า  โรชราช  พระเจ้าโรชราชทรงมีพระโอรสพระนามว่า  วรโรชราช  พระเจ้าวรโรชราชทรงมีพระโอรสนามว่า  กัลยานราช  พระเจ้ากัลยานราชทรงมีพระโอรสพระนามว่า   สกมันธาตุราช(ภาษาบาลีเป็น วรมนุธาตุ)  พระเจ้าสกมันธาตุราชทรงมีพระโอรสนามว่า  อุโบสถ  พระเจ้าอุโบสถราชทางมีพระโอรสพระนามว่า  วรราช  พระเจ้าวรราชทรงมีพระโอรสพระนามว่า  อุปวรราช  พระเจ้าอุปวรราชทรงมีพระโอรสพระนามว่า  มฆเทวราช  ได้เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์เป็นลำดับด้วยกัน ๑๑ พระองค์ด้วยกัน 
เกิดโอกกากราชวงศ์
ตั้งแต่นั้นมาพระราชวงศานุวงศ์ได้ครองราชย์สมบัติได้ครองราชย์สมบัติติดต่อกันมา ๘๔,๐๐๐ พระองค์  จนมาถึงโอกกากวงศ์ทั้งสาม  และพระเจ้าปฐมโอกกากราชย์ได้เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์มาหลายชั่วกษัตริย์  จนมาถึงพระเจ้าทุติยโอกกากราช  พระเจ้าทุติยโอกกากราชเป็นบรมกษัตริย์ สืบพระวงศ์ต่อๆ กันมา จนมาถึงพระเจ้าตติยโอกกากราช  พระเจ้าตติยโอกกากราชมีพระมเหสี ๕ พระองค์ คือ พระนางหัฏฐา ๑ พระนางจิตตา ๑ พระนางชันตุ ๑ พระนางชาลินี ๑ พระนางวิสาขา ๑ พระมเหสีองค์หนึ่งๆ มีนางสนมเป็นบริวาร ๕๐๐ๆ ก็แลพระนางหัฏฐาซึ่งเป็นพระเชษฐอัครมเหสีใหญ่นั้นมีพระราชบุตร ๔ พระองค์ คือ โอกกากมุขราชกุมาร ๑ กรัณฑราชกุมาร ๑ หัตถินิเกสิราชกุมาร ๑ นิปุรราชกุมาร ๑ แลมีพระราชบุตรีอีก ๕ พระองค์ คือ นางปิยาราชกุมารี ๑ นางสุปิยาราชกุมารี ๑ นางอานันทาราชกุมารี ๑ นางวิชิตาราชกุมารี ๑ นางวิชิตาเสนาราชกุมารี ๑ รวมพระบุตรแลพระบุตรีเป็น ๙ พระองค์ด้วยกัน
พระเจ้าโอกกากราชที่ ๓ ยกราชสมบัติให้พระโอรสองค์เล็ก
ครั้นสืบมา ณ กาลภายหน้า พระมเหสีผู้ใหญ่นั้นสิ้นพระชนม์ลง สมเด็จบรมกษัตริย์จึงไปนำมาซึ่งนางราชธิดาองค์อื่นอันทรงอุดมรูป ตั้งไว้ ณ ที่เป็นอัครมเหสีผู้ใหญ่ แลนางนั้นมีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงนามชันตุราชกุมาร ครั้นพระราชกุมารนั้นพระชนม์ได้ ๕ เดือน พระมารดาจึงประดับด้วยเครื่องราชกุมารปิลันธนาภรณ์นำขึ้นเฝ้าพระราชบิดา พระราชบิดาได้ทอดพระเนตรพระราชโอรสอันทรงสรีรรูปอันงาม ก็ทรงพระสิเนหปราโมทย์ จึงดำรัสพระราชทานพรแก่พระนางผู้เป็นมารดาว่า เจ้าจะปรารถนาพรอันใดก็จะให้สำเร็จมโนรถ
แลนางนั้นได้โอกาสจึงคบคิดกับหมู่ญาติทั้งปวงทูลขอราชสมบัติให้แก่บุตรของตน สมเด็จบรมกษัตริย์ตรัสคุกคามว่า หญิงร้าย ไฉนเจ้ามากล่าวความพินาศฉิบหายปรารถนาจะกระทำอันตรายแก่โอรสผู้ใหญ่ของเราดังนี้ แลนางนั้นก็คอยท่วงที เมื่อเสด็จเข้าสู่ที่สิริครรภไสยาสน์ กระทำประโลมด้วยอิตถีมายายังพระภัสดาให้ยินดีด้วยวิธีกามเสวนกิจ แล้วพิดทูลวิงวอนว่า พระองค์เป็นบรมกษัตริย์ ได้ออกพระโอษฐ์พระราชทานพรอนุญาตแก่ข้าพระบาทแล้ว ซึ่งจะมิได้โปรดพระราชทานให้สมซึ่งประสงค์แห่งข้าพระองค์นั้นมิสมควร
พระโอรสพระธิดา ๙ พระองค์ต้องออกจากเมือง
สมเด็จพระเจ้าโอกกากราชทรงคิดละอายพระทัยด้วยได้ลั่นพระโอษฐ์ออกแล้วเกรงจะเสียสัตย์ จึงดำรัสให้หาพระราชโอรสทั้ง ๔ มาเฝ้า แล้วตรัสเล่าความตามนัยหนหลัง แล้วตรัสสั่งว่าเจ้าจะปรารถนาช้างม้าแลรถรี้พลสักเท่าใด ก็จงนำไปเท่านั้น เหลือไว้แต่คชาชาติราชอัสสดุรงครถซึ่งสำหรับพระนคร จงพาจตุรงคนิกรทั้งปวงไปจากราชพารา ช่วยรักษาสัตย์ของบิดาไว้ ต่อเมื่อบิดาสวรรคาลัยแล้ว จึงกลับมาคืนเอาราชสมบัติ แล้วตรัสสั่งอมาตย์ ๘ นาย ให้ไปกับพระราชโอรสช่วยทำนุบำรุงรักษาอย่าให้มีภัยอันตรายได้
พระราชกุมารทั้ง ๔ รับพระราชปริหารแล้ว กราบถวายบังคมลา ต่างองค์ทรงพระโสกาดูรพิลาปด้วยปิยวิปโยคทุกข์ซึ่งจะจำจากกัน แล้วทูลขอขมาโทษพระราชบิดา แลอำลาพระราชวงศานุวงศ์กับทั้งหมู่อนงค์นางสนมทั้งปวง แล้วพาพระเชษฐภคินีแลพระกนิษฐภคินีทั้ง ๕ พระองค์ออกจากพระนคร กับด้วยจตุรงคนิกรและอมาตย์ทั้ง ๘ เป็นบริวาร
ส่วนประชาชนหญิงชายทั้งหลายได้แจ้งเหตุว่า พระราชกุมารจะเสด็จคืนมาครอบครองราชสมบัติในกาลเมื่อพระบรมกษัตริย์ราชบิดาทิวงคตแล้ว ก็ชวนกันดำริว่า เราจะติดตามไปอุปัฏฐากพระราชกุมาร ก็พากันตามเสด็จไปจากพระนครเป็นอันมาก แล้วเดินทางไปล่วง ๓ วันแล้ว สิ้นหนทางถึง ๓ โยชน์ ก็ยังไม่สิ้นรี้พลประชาชนอันตามเสด็จ

จึงพระราชกุมารทั้ง ๔ มี พระโอกกากมุขเชษฐาธิราชเป็นประธาน ก็ตรัสปรึกษากันว่า พลนิกายของเรามากกว่ามาก แม้จะยกไปย่ำยีตีพระยาสามนตราชเมืองหนึ่งเมืองใด ชิงเอาบ้านเมืองแลชนบทแว่นแคว้น ก็จะได้สมความปรารถนาแลท้าวพระยาทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะสู้รบเราไม่ได้ คงจะปราชัยพ่ายแพ้ แต่ทว่าจะประโยชน์อันใดด้วยจะเบียดเบียนเอาสมบัติบ้านเมืองของผู้อื่น และแผ่นพื้นชมพูทวีปก็ใหญ่กว้างควรจะไปสร้างนครในอรัญประเทศ ให้พ้นเขตแดนท้าวพระยาสามนตราชทั้งปวง ก็ดำเนินพลบ่ายหน้าเฉพาะป่าหิมพานต์ เที่ยวแสวงหาที่ภูมิสถานอันจะสร้างพระนครใหม่
กบิลพราหมณ์โพธิสัตว์แนะให้สร้างเมืองใหม่
ในกาลนั้น พระบรมโพธิ์สัตว์แห่งเรา บังเกิดในสกุลพราหมณมหาศาลมีนามกบิลพราหมณ์ พิจารณาเห็นโทษในเบญจกามคุณจึงเสียสละสมบัติออกบรรพชาเป็นดาบส ไปสร้างบรรณศาลาสถิตอยู่ในสากพนสณฑ์ แทบใกล้ฝั่งสระโบกขรณี อันมีอยู่ ณ ชายป่าหิมวันตประเทศ แลพระผู้เป็นเจ้ารู้ในภูมิดลมงคลวิทยา พิจารณาเห็นคุณแลโทษในโอกาสสูงขึ้นไปได้ ๘๐ ศอก ในภายใต้ปฐพีลึกลงไปได้ ๘๐ ศอกดุจกัน และในภูมิประเทศที่แห่งนั้นมีกอหญ้าแลกอลดาวัลย์เวียนเป็นทักษิณาวรรตผันไปฝ่ายปราจีนทิศทั้งสิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายเป็นต้นว่าสีหพยัคฆ์ไล่ซึ่งมฤคสุกรมาแลวิฬาร์ไล่ซึ่งหนู งูไล่ซึ่งมณฑกชาติมาถึงที่นั่น แล้วก็มิอาจติดตามต่อไปได้ สัตว์ที่แพ้นั้นกลับไล่คุกคามเอาสัตว์ที่มีอำนาจให้ปลาตนาการกลับไป เป็นที่ชัยมงคลภูมิประเทศพระดาบสแจ้งเหตุฉะนี้จึงจัดแจงสร้างบรรณศาลาอาศัยอยู่ในที่นั้น

ครั้นพระผู้เป็นเจ้าเห็นพระราชกุมารทั้งหลายยาตราพลาพลนิกายมาเป็นอันมาก จึงได้ถามทราบความว่าสืบแสวงหาที่จะสร้างพระนคร ก็มีความกรุณาปรารถนาจะอนุเคราะห์ให้เป็นประโยชน์แก่พระราชกุมารทั้งปวง จึงบอกเหตุว่า บพิตรจงสร้างพระนครลงในที่บริเวณบรรณศาลาของอาตมานี้เถิด แลเมืองอันนี้นานไปภายหน้าจะเป็นอัครนครปรากฏในชมพูทวีป ผิวบุรุษบังเกิดในพระนครนี้จะมีอานุภาพมาก คนเดียวก็อาจสามารถจะข่มขี่ผจญเสียได้ซึ่งบุรุษอื่นร้อยคนพันคนให้พ่ายแพ้อำนาจ จงสร้างปราสาทราชคฤหสถานลงตรงที่บรรณศาลานี้ ผิวผู้ใดสถิตในที่นี้ถึงแม้นมาตรว่าเป็นบุตรคนจัณฑาลก็จะมีพลานุภาพมาก อาจข่มขี่เสียได้ซึ่งปัจจามิตร ดุจพลานุภาพแห่งบรมจักรพรรดิเป็นแท้ พระราชกุมารจึงเผดียงถามว่า พระผู้เป็นเจ้าจะไปอยู่ ณ ที่ใด ดูก่อนบพิตร อย่าได้ทรงพระปริวิตกเลยด้วยที่อยู่ของอาตมา แลอาตมาก็จะไปสร้างบรรณศาลาอยู่ ณ ที่ข้างหนึ่งนอกพระนคร บพิตรจงตั้งนามกรเมืองนี้ชื่อกรุงกบิลพัสดุ์เถิด
เกิดพระนครกบิลพัสดุ์

และพระพระกุมารทั้ง ๔  มีพระโอกกากมุขผู้เป็นพี่ใหญ่เป็นประธาน ทำการสร้างนคร  สร้างปราสาทพระราชวังตามคำแนะนำของดาบส ก็ตั้งชื่อว่านครกบิลพัสดุ์ตามชื่อพระดาบสที่แนะนำให้สร้างนคร แล้วก็อาศัยในนครดังที่มานี้    
เกิดศักยราชตระกูลอภิเษกสมรสกันเอง

เนื่องจากเกรงว่าสมรสกับกษัตริย์ตระกูลอื่น  อาจมีเชื้อสายไม่บริสุทธิ์บ้าง ก็เกรงจะเสื่อมเสีย   พระโอรสทั้ง ๔ พระองค์และพระธิดาทั้ง ๔ พระองค์จึงอภิเษกสมรสกันเอง  เพื่อจะได้เชื้อสายที่บริสุทธิ์
พระโพธิสัตว์เคยอุบัติในราชวงศ์นี้เป็นพระเวสสันดร

พระโพธิสัตว์เคยเกิดในราชวงศ์นี้  เป็นพระเวสสันดรบริจาคทรัพย์เมื่อมีชีวิตจนตายเป็นจำนวนมาก  จนมาถึงพระเจ้าไชยเสนราช มีพระราชบุตรชื่อว่าพระเจ้าสีหหนุได้เสวยราชพระเจ้าสีหหนุศักยะให้เหล่าอำมาตย์เสาะหาหญิงงามเพื่อพระโอรสสุทโธทนะ
พระเจ้าสีหหนุให้เหล่าอำมาตย์ทั้ง ๘  เสาะหาหญิงงามที่มีลักษณะ ๖๔ ประการ  เพื่ออภิเษกเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะสมบัติสืบต่อกันมา
ความงดงามของเจ้าหญิงสิริมหามายาแห่งเทวทหะ

ในกาลนั้นพระนางสิริมหามายาเทวี ได้บำเพ็ญเพียนมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าวิปัสสี  ทรงมีสิริโฉมอันงดงามมีลักษณะของนารีที่สมบูรณ์ ๖๔ ประการและมีเบญจกัลยานีมิมีผู้ใดหาเปรียบได้และจะให้ความสุขทั้ง ๓ ประการ กล่าวคือ มนุษยสุข ทิพยสุข นิพพานสุข
พวกพราหมณ์ทำนายว่าจะเป็นพุทธมารดา

เหล่าพราหมณ์ก็ทำนายว่า  พระธิดาจะได้เป็นพุทธมารดา  พระเจ้าชนาธิปก็ดีใจอย่างยิ่ง  จึงให้กระทำอู่แก้ว ๗ ประการ  แล้วถวายพระนามว่าสิริมหามายาราชกุมารี  เพราะมีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก  เมื่อมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษาก็หาหญิงใดในโลกธาตุที่มีความงามเสมอเหมือนหรืองามกว่ามิได้
ความอัศจรรย์  ๑๒ ประการของพระนางสิริมหามายา
       ๑. เมื่อพระนางถือถาดทองที่เต็มไปด้วยภัตตาหารเลิศรส ทรงสามารถตักอาหารนั้นให้แก่มนุษย์ทั่วทั้งชมพูทวีปให้อิ่มได้ทุกคน อาหารนั้นก็มิได้บกพร่องไปเลย มนุษย์ทั้งหลายที่บริโภคอาหารของพระนางก็มีอายุยืนยาวทั้งสิ้น 

       ๒. เมื่อพระนางทรงสัมผัสกายของผู้เจ็บป่วยคนใดก็ตาม หากผู้นั้นไม่ถึงกาลหมดอายุขัย โรคทั้งหลายก็จะหายไปในทันที

          . เมื่อพระนางจับใบไม้ทั้งหลาย ใบไม้นั้นก็กลับกลายเป็นทองไปทั้งสิ้น

       . เมื่อพระนางนำพืชผลใดลงเพาะปลูกลงในดิน ทันทีที่พระนางได้เทน้ำลงไป พืชนั้นก็จะผุดขึ้นเติบใหญ่แตกกิ่งก้าน ผลิดอกออกผลในทันที

          . หากพระนางเสด็จขึ้นไปบนภูเขา และเอ่ยว่าทรงกระหายน้ำ ทันใดท่อธารน้ำร้อนและน้ำเย็นก็จะปรากฏขึ้นมาถวายแด่พระนาง

       . เมื่อพระนางเสด็จไปในที่ใด เหล่าภุมมเทวาและรุกขเทวาก็จะเนรมิตซึ่งทิพยอาหารถวายแด่พระนางและบริวาร
      ๗. เมื่อพระนางเสด็จประพาสอุทยาน เหล่าเทวดาก็จะนำมาซึ่งน้ำทิพย์ให้สรงสนานและนำอาภรณ์ทิพย์มาตกแต่งให้พระนาง

      ๘. เมื่อพระนางบรรทม ราชายักษ์ทั้ง ๘ ก็จะถือพระขรรค์มายืนเฝ้าแวดล้อมอารักขาในทิศทั้งหลาย 

         . เมื่อพระนางเสด็จไปพักเล่นในตำบลใด เหล่าเทวดาก็จะแปลงเพศมาเล่นมหรสพถวายแด่พระนางให้เพลิดเพลิน

    ๑๐. เมื่อถึงยามเย็น เทวดาที่สถิตในป่าหิมพานต์ก็จะนำมาซึ่งน้ำจากสัตตะมหาสระ ใส่หม้อทองมาสรงสนานให้แก่พระนาง

    ๑๑. ในกาลที่ทรงเกิด เทวดาได้นำพระแท่นอันเป็นทิพย์ที่เกิดจากไม้กัลปพฤกษ์ ยาว ๘๐ ศอก กว้าง ๘๐ ศอก ถวายให้พระนางได้บรรทมบนแท่นอันเป็นสิริโดยตลอด

     ๑๒. เมื่อพระนางทอดพระเนตรสมณชีพราหมณ์และชาวประชาทั้งปวง หากประสงค์จะบริจาคทาน ฝนรัตนชาติก็จะตกลงจากอากาศให้พระนางแจกจ่ายได้ดังประสงค์ คำว่าอดอยากมิได้มี

    
เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระนางสิริมหามายาทรงบำเพ็ญทานเพราะปรารถนาเป็นพระพุทธมารดาในอดีต
บุรุษและมนุษย์เห็นพระนางสิริมหามยาต่างหลงใหล

เมื่อพระธิดาเจริญวัย บุรุษและมนุษย์เมื่อเห็นพระนางสิริมหามายาต่างก็หลงใหลในความงามไม่ได้สติทุกคน
พระนางสิริมหามายาเสด็จสรงน้ำพักผ่อนในอุทยาน

มีอยู่ครั้งหนึ่งพระนางสิริมหามายาอยากไปอุทยาน  เหล่านางกำนัลข้ารับใช้ก็เตรียมสิ่งของไป  ทรงสนุกสนานสำราญที่อุทยาน
พวกพราหมณ์ไม่พบสตรีงามตามที่ต้องการจึงมาค้นหาสตรีในเมืองเทวทหะ

พวกพราหมณ์ไม่เจอสตรีงามที่มีลักษณะ ๖๔ ประการครบถ้วน  เจอสตรีที่มีลักษณะอื่นอยู่บ้างแต่เจอไม่ครบ  จนกระทั่งเดินทางมาถึงเมืองเทวทหะ  ได้ยินเสียงมาจากอุทยานก็พบพระธิดาที่แวดล้อมด้วยข้าราชบริพารที่เหมือนเทพอัปสรแวดล้อมเทพธิดา และมีรัศมีล้อมรอบตัวพระธิดา  
พวกพราหมณ์พบพระธิดากลับลืมตัว

เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๘ พบพระธิดากลับลืมตัว ไม่ได้สติเนื่องจากความงามของพระธิดา  พระธิดาจึงให้นางข้ารับใช้ไปถามดู โกญฑัญญพราหมณ์นั้นเคยบำเพ็ญบุญจึงได้สติก่อน  จึงบอกนางข้าราชบริพารถึงสิ่งที่พระเจ้าสีหหนุใช้มาให้ทราบ  และนางข้าราชบริพารก็นำความไปทูลพระธิดา
โกญฑัญญพราหมณ์หลงใหลจนสลบ

โกญฑัญญพราหมณ์ก็ถูกพระธิดาเชิญไปถามว่า แคว้นใดสั่งท่านมา เมื่อได้ฟังโกญฑัญญพราหมณ์ก็หลงใหลจนสลบไป
ฟื้นแล้วกราบทูลเหตุผลที่บอกมา
เมื่อพระธิดาเห็นเช่นนั้นก็ให้เอาน้ำเย็นมารดโกญฑัญญพราหมณ์  เมื่อสติก็บอกพระธิดาว่า พระโอรสสุทโธทนะถึงเวลาที่จะอภิเษกแล้ว จึงให้มาตามหาหญิงงามที่มีลักษณะ ๖๔ ประการเพื่ออภิเษกกับพระโอรส เมื่อมาเจอพระธิดาก็ได้มาพบหญิงที่มีลักษณะตามที่ต้องการ
เพียงสดับพระคุณของพระกุมาร  เจ้าหญิงก็ทรงหลงรัก

เมื่อได้ฟังพระคุณของพระกุมารก็ทรงหลงรัก เนื่องด้วยบุพเพสันนิวาสในอดีต แต่ปิดบังเอาไว้แล้วให้โกญฑัญญพราหมณ์ไปเจรจากับพระมารดา
ทรงรับมณีปิลันธนคีวะ (เครื่องประดับสวมพระศอ)

พราหมณ์ก็ได้บอกต่อไปว่าพระเจ้าสีหหนุราชได้สั่งว่าเมื่อพบหญิงสาวที่ตามหาก็ให้มอบเครื่องประดับสวมพระศอให้  พระธิดาจึงมีรับสั่งให้ส่งมาเถิด นางข้ารับใช้ก็เอามณีนั้นมาล้างนำแล้วประพรมด้วยของหอม ใส่ไว้ในกล่องแก้วแล้วให้พราหมณ์ไปที่อยู่ของพระบิดา เมื่อไปถึงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พระเจ้าชนาธิปทราบ 
พวกพราหมณ์ทูลคุณสมบัติของพระราชกุมาร

เหล่าพราหมณ์ก็ทูลคุณสมบัติของพระโอรสสุทโธทนะให้พระเจ้าชนาธิปทราบ
ทรงพิจารณาเห็นทั้งสองเหมาะสมกันยิ่ง

เมื่อได้ฟังดังนั้นพระเจ้าชนาธิปก็พิจารณาว่าพระธิดาและพระโอรสสุทโธทนะเหมาะสมกันยิ่ง
ตรัสให้เลี้ยงดูพวกพราหมณ์ แล้วทรงประชุมสโมสรสันนิบาตพิจารณาการสู่ขอ

พระเจ้าชนาธิปจึงสั่งให้เหล่าอมาตย์นำความไปทูลพระมเหสี  และสั่งให้ข้าราชบริพารเอาอาหารมาเลี้ยงเหล่าพราหมณ์ แล้วสั่งให้มีการประชุมพิจารณาการสู่ขอ
ที่ประชุมเห็นชอบถวายพระราชธิดาสิริมหามายา

เมื่อประชุมกันที่ประชุมก็เห็นชอบด้วย  วันรุ่งขึ้นก็ให้พราหมณ์กินข้าว  ให้รางวัลพราหมณ์  และให้ของแก่พระเจ้าสีหหนุ  อนุญาตถวายพระธิดา แล้วส่งพราหมณ์กลับเมือง
พระเจ้าสีหหนุทรงพระสุบิน ๒ ข้อ

เมื่อพระเจ้าสีหหนุทรงบรรทมก็ทรงสุบินสองข้อที่ทั่วโลกธาตุไม่มีสิ่งใดเคยฝันแบบนั้น
พระสุบินข้อหนึ่ง ทรงเห็นวิมานรัตนะ ๗ ผุดขึ้นกลางชมพูทวีป
ข้อหนึ่งว่ามีสัตตรัตนพิมานอันหนึ่ง ผุดขึ้นมาแต่พื้นภูมิภาคประดิษฐานในที่ท่ามกลางชมพูทวีป สูงพ้นภวัครพรหมมีพื้นที่ถึง ๒๘ ชั้น แลพื้นชั้นต่ำใหญ่กว้างแผ่ไปปกปิดเสียทั่วทั้งหมื่นจักรวาฬแลพื้นชั้น ๒ ปกปิดเสียซึ่งชั้นจาตุมหาราช พื้นชั้น ๓ ปกปิดเสียซึ่งชั้นดาวดึงส์ พื้นอันเศษถัดๆ ขึ้นไปนั้น ก็ปิดปิดเสียซึ่งกามาพจรเทวโลกพื้นละชั้นโดยลําดับ ตราบเท่าถึงรูปาพจรพรหมโลกทั้ง ๑๖ ชั้น รุ่งเรืองงามยิ่งนัก แลยอดวิมานนั้นล้วนแล้วด้วยแก้วมณีโอภาสส่องสว่างไปทั่วทวิเขตทั้ง ๒ คือ หมื่นจักรวาลอันเป็นชาติเขต แลแสนโกฏิจักรวาฬเป็นอาณาเขต ภายในวิมานนั้น มีรัตนบัลลังก์อันหนึ่งสูงได้ ๓๔ แสนโยชน์ โดยกว้างได้ ๗ แสนโยชน์ แลมีอัครบุรุษผู้หนึ่งอยู่บนบัลลังก์แก้วกับด้วยนางเทพอัปสรกัญญาบริวารเป็นอันมากดําริที่จะเปิดประตูพระอมตมหานฤพาน ตสฺมึ ขเณมหาเมโฆ ขณะนั้นมหาเมฆก็ตั้งขึ้นหลั่งลงซึ่งหยาดเมล็ดฝนทั่วทั้ง
ห้องจักรวาฬ แลเมล็ดฝนนั้นปรากฏเป็นรูปต่างๆ ตกลงมาแทบบาทมูลแห่งอัครบุรุษผู้นั้น แล้วก็กลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น และอัครบุรุษนั้นก็สั่งสอนให้เล่าเรียนศิลปศาสตร์เป็นอันมาก จะให้ชนทั้งหลายเหล่านั้นได้ซึ่งอดุลยสุข
พระสุบินข้อสอง ทรงเห็นหมู่สัตว์กลายเป็นมนุษย์
มีอัครบุรุษพาข้ามแม่น้ำหลายเที่ยว

แลพระสุบินนิมิตอื่นข้อหนึ่งเป็นคํารบ ๒ ว่ายังมีมหาคงคาอันหนึ่งกว้างลึกยิ่งนัก ดาษไปด้วยระเบียบคลื่นอันใหญ่ แลอัครบุรุษนั้นตกแต่งผูกซึ่งเรือขนานอันล้วนแล้วด้วยแก้ว ประทับอยู่ที่ฝั่งมหาคงคาแลมีฝูงสัตว์ทั้งหลายผุดขึ้นมาจากน้ำแล้วกลับกลายเป็นมนุษย์ แล้วมีสัตว์เป็นอันมากมีรูปต่างๆ ผุดขึ้นมาจากภายใต้แผ่นดินแล้วก็กลายเป็นมนุษย์มาสู่สํานักอัครบุรุษ อัครบุรุษก็สั่งสอนให้เรียนซึ่งมนต์ทั้งสิ้นด้วยกัน แล้วก็พาชนบริษัทเหล่านั้นลงสู่รัตนมหานาวา แล่นข้ามมหาคงคานั้นไป แลโลโณทกวารีในมหานทีนั้น จะได้เข้าไปในลํานาวาแก้วแต่มาตรว่าหยาดหนึ่งก็หามิได้ ส่วนองค์อัครบุรุษก็ทรงจังกูฏนั่งถือท้ายเรือแก้วนั้นไปจนถึงฝั่งฟากโพ้น แล้วนํามหาชนขึ้นสู่ฝ๎๑ง พาเข้าไปในเมืองหนึ่งมีนามอนาลัยนคร ประกอบด้วย ปราการ ๗ ชั้น แลมีทั้งปรางคปราสาทอันรจนา แล้วพระองค์ก็กลับลงสู่รัตนนาวา ข้ามกลับมาบรรทุกชน ทั้งหลายขนข้ามไปสู่พระนครนั้นเนืองๆ เป็นหลายครั้ง สิ้นข้อความในสุบินเป็น ๒ ข้อเท่านั้นก็พอบรรทม ตื่นในเวลาปัจจุสสมัยกาล
พราหมณ์ทำนายว่า หาคู่ให้พระราชกุมารได้แล้ว
และพระนางจะเป็นพระพุทธมารดา

พอรุ่งเช้าก็ให้บิดาโกณฑัญญพราหมณ์มาทำนายฝัน พราหมณ์ทำนายว่า หาคู่ให้พระราชกุมารได้แล้วและพระนางจะเป็นพระพุทธมารดา  เมื่อได้ฟังก็ทรงดีใจ
พราหมณ์อำมาตย์ ๘ คน กลับเข้าเฝ้าถวายรายงาน

เมื่อพราหมณ์กลับมาถึงกรุงกบิลพัสดุ์  จึงนำเครื่องบรรณาการมาถวาย แล้วเล่าเรื่องทั้งหมด  แล้วเล่าเรื่องพระเจ้าชนาธิปประทานพระธิดาให้
นัดวันวิวาหมงคล

สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชจึงรับสั่งให้ประชุมกษัตริย์ศักยราชทั้ง ๖๐๐,๐๐๐ พระองค์ ปรึกษาพร้อมกันแล้วก็จัดให้กษัตริย์ ๓ พระองค์กับสุดิตมัตตเสนาบดีแลสุทธิยอมาตย์ คุมเครื่องราชบรรณาการไปกับพราหมณ์ทั้ง ๘ สู่เมืองเทวทหนคร กราบทูลนัดการวิวาหมังคลาภิเษก  พระเจ้าชนาธิปราชก็ทรงพระโสมนัส จึงตรัสส่งกษัตริย์ ๓ พระองค์ กับอุปาหนเสนาบดีแลสุปดิษฐอมาตย์ให้คุมเครื่องราชบรรณาการตอบไปถวายสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราช กําหนดการวิวาหมงคล
ขบวนเสด็จไปกรุงเทวทหะ

พระเจ้าสีหหนุราชจึงได้ตกแต่งมรรคาแต่กบิลพัสดุ์ไปตราบเท่าถึงเมืองเทวทหนคร ประดับด้วยอลังการต่างๆ แล้วจัดกษัตริย์ศักยราชวงศ์ขึ้นทรงกุญชรชาติ ๒,๐๐๐ ประดับหัตถาภรณ์ แล้วให้พระสิริสุทโธทนราชโอรสทรงช้างต้นพระยาเศวตไอยรารัตนป๎จจัย แวดล้อมไปด้วยกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์เป็นบริวารแล้วจัดสินธพยาน ๓,๐๐๐ ให้ศักยราชกุมารขึ้นทรงถ้วนทุกตัวม้าแห่เสด็จโดยขบวนหน้าหลังแลมีพลเดินเท้าล้วนถือธนู ๙๐๐,๐๐๐ แห่ไปเบื้องหน้าแห่งคชาพาหนยาตร แล้วให้จัดเกวียนบรรทุกข้าวสารสัญชาตสาลี ๓๐,๐๐๐ เล่ม แลเกวียนบรรทุกทรัพย์พัสดุสิ่งของต่างๆ ๔,๐๐๐ เล่มเกวียน บรรทุกมัจฉมังสาผลาผลสิ่งของบริโภคทั้งปวง ๖,๐๐๐ เล่ม ให้ล่วงหน้าไปก่อน สยํ ส่วนองค์พระเจ้าสีหหนุราชก็ทรงมงคลหัตถีแลช้างพระประเทียบทั้งปวงตามเสด็จแวดล้อมด้วยหมู่มุขเสนามาตย์ คหบดี เศรษฐี ทวิชาจารย์ แลจตุรงคโยธาหาญเป็นอันมาก เสด็จยาตราพลาพลไปเบื้องหลัง
พระเจ้าชนาธิปราชารับเสด็จ ณ อโสกอุทยาน (อยู่ในป่าลุมพินี)

ชนาธิปราชา ส่วนสมเด็จพระเจ้าชนาธิปราชทรงทราบข่าวว่า พระเจ้าสีหหนุราชเสด็จยาตราพลมา ก็เสด็จทรงพระราชยานน้อยแวดล้อมด้วยเสนามาตย์ราชพิริยโยธาหาญ ออกจากพระนครไปถึงอโสกอุทยาน ยานา  โอตาเรตฺวา จึงเสด็จลงจากพระราชยานเสด็จดําเนินด้วยพระบาทไปทําป๎จจุคมนาการรับเสด็จสมเด็จพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ ถวายบังคมทูลเชิญเสด็จประเวสพระนคร สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชทอดพระเนตรเห็นปุาลุมพินีอันใหญ่กว้าง เป๐นที่รัมณียสถาน จึงตรัสแก่พระเจ้าชนาธิปราช ขอพักพลประทับอยู่ในที่นั้น พระเจ้าชนาธิปราชให้รี้พลแผ้วถางภูมิประเทศที่นั้นถวาย
พระเจ้าสีหหนุตรัสให้สร้างมหามณฑปและปราสาท ๑ องค์
ส่วนพระเจ้าชนาธิปทรงให้สร้างปราสาท ๒ องค์

พระเจ้าสีหหนุราชจึงตรัสสั่งสุรัตนวัฒกีอมาตย์ นายช่างผู้ใหญ่ให้กระทํามหามณฑปกว้างถึงกึ่งประโยชน์ กอปรด้วยเสาถึง ๘๐๐ ต้น แล้วให้กระทําปราสาททององค์หนึ่งมีพื้น ๑๙ ชั้น ในอโสกอุทยานให้นามโกกนุทปราสาท ส่วนพระเจ้าชนาธิปราชก็ให้สร้างปราสาท ๒ องค์ได้นามธัญมุตปราสาทองค์ ๑ เวฬุป๎ตปราสาทองค์ ๑ ณ พระอุทยานนั้น
สร้างเพื่อใช้เป็นสถานมหามงคลวิวาหะในเดือน ๔
แลการปราสาททั้ง ๓ สําเร็จในเดือนหนึ่งบริบูรณ์ ครั้งถึงผคุณมาส พระเจ้าชนาธิปราช จึงให้ตกแต่งพระนครงามดุจดาวดึงส์เทวโลก แล้วให้ตกแต่งปราสาททั้ง ๓ และมหามณฑปในอโสกอุทยาน ในท่ามกลางมหามณฑปนั้นตั้งไว้ซึ่งกองแก้ว ๗ ประการ สูงประมาณชั่วลําตาลหนึ่ง ลาดด้วยผ้ากัมพลอันหาราคามิได้ เป็นบัลลังก์สําหรับจะราชาภิเษก ครั้นเวลารุ่งเช้าก็อัญเชิญพระสิริมหามายาราชธิดา ให้โสรจสรงเสาวคนธ์จันทโนทกธารา แล้วทรงเครื่องสิริราชกัญญาวิภูสนาภรณ์พร้อมเสด็จแวดล้อมด้วยคณาเนกนางขัตติยราชกุมารีแสนหนึ่งเป็นบริวาร

ราชา ส่วนสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชก็อันเชิญพระเจ้าสิริสุทโธทนราชโอรส ให้โสรจสรงสุคนโธทกธารา แล้วทรงราชาภิษิกพัสตร์รัตนราชปิลันธนาภรณ์พร้อมเสร็จ พออุตมฤกษ์ก็อัญเชิญเสด็จขึ้นทรงอลงกตมหามงคลราชรถ อันห้อยย้อยไปด้วยแก้วมีประการต่างๆ เทียมด้วยสินธพชาติทั้ง ๔ มีสีดังดอกกุมุทเสด็จไปสู่มหามงคลมณฑปที่ราชาภิเษก

หมู่เทวดาและพรหมร่วมยินดี แสดงตัวให้พระราชาทอดพระเนตร
ตสฺมึ  ขเณ ขณะนั้นก็ร้อนถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ สมเด็จอมรินทราธิราชทรงพระอาวัชนาการทราบเหตุ จึงเสด็จแวดล้อมด้วยเทพบริวารเป็นอันมาก ดํารัสให้พระวิสสุกรรมเทพบุตรถือเอาซึ่งทิพยภูษาแล้วให้นางสุชาดาเทพอัปสรกัญญานําหน้าอมรบรรษัทลงสู่กรุงเทวทหนคร ในกาลนั้น หมู่ภุมเทพยดา และรุกขเทพยดา อากาศเทพยดาทั้งหลาย ก็ชวนกันอุโฆษณาสาธุการโกลาหลนี่สนั่น เทพยดาในชั้นฉกามาพจรสวรรค์แลมหาพรหมตั้งแต่ชั้นพรหมปาริสัชตลอดถึงภวัครอกนิษฐภพ ได้สดับศัพท์สาธุการก็ชวนกันโสมนัสปรีดา แลท้าวสหัมบดีมหาพรหมพระหัตถ์เบื้องขวาทรงรัตนภิงคารพระเต้าแก้ว เต็มไปด้วยทิพยสุคนโธทกพระหัตถ์เบื้องซ้ายทรงรัตนจังโกฏก์ผอบแก้วเต็มไปด้วยสัตตรัตนมณี แลท้าวสุทธาวาสมหาพรหมพระกรทรงทิพย์เศวตฉัตรอันใหญ่ดุจบุรุณจันทรมณฑลลงสู่เทวทหนคร สมเด็จพระเจ้าชนาธิปราชได้ทอดพระเนตรเห็นเทพยคณะบรรษัททั้งหลาย ลงมาเป็นอันมาก ก็ทรงพระโสมนัสตรัสสรรเสริญบุญบารมีพระราชธิดาแห่งพระองค์อันเป็นมหัศจรรย์
สกฺโก วิสฺสุกมฺมํ อาณาเปตฺวา สมเด็จอมรินทราธิราชจึงตรัสสั่งวิสสุกรรมเทพบุตรให้กระทําพื้นลานรอบมหามณฑป แลมรรคากึ่งโยชน์อันจะมาแต่พระนคร ตราบเท่าถึงพระอุทยานนั้น ให้ราบรื่นพื้นเสมอเป็นอันดี เทพยดาทั้งหลายก็มาประชุมเล่นมหรสพภิเษกสมโภชในที่นั้นๆ
ขบวนพระราชธิดามายามีพระอินทร์

ส่วนพระสิริมหามายาทรงเครื่องแล้วแวดล้อมด้วยนางขัตติยกัญญาแสนหนึ่งเป็นบริวาร เสด็จลงจากปราสาทมาทรงราชรถ แลนางสุชาดาเทพอัปสรอสุรธิดา ก็ทรงทิพยรถยานออกจากพระนครไปสู่อุทยานแวดล้อมด้วยคณาเนกนางเทพอัปสรเป็นบริวารนําหน้ารถพระสิริมหามายาราชบุตรี สมเด็จท้าวโกสีย์แลพระเจ้าชนาธิปราช กับทั้งสุนันทาเทวีราชชนนีแลหมู่นางสนมนารีนิกรกัญญา กับกษัตริย์ขัตติยวงศาทั้งหลายเป็นอันมากก็ตามไปในเบื้องหลัง หมู่เทพบรรษัททั้งหลายก็ถือฉัตรแลธงชายธงปฏากแห่ไปทั้งสองฟากถนนวิถี เทพยดามนุษย์ทั้งปวงก็มาสโมสรสันนิบาต นั่งแวดล้อมมหามงคลวิวาหมณฑปอยู่โดยรอบในขณะนั้น อันว่าทิพยมณฑาบุบผชาติ แลนานาทิพยกุสุมวัสสธารก็บันดาลตกเต็มทั่วพื้นภูมิสถานโดยยาวได้สองโยชน์กว้างได้โยชน์หนึ่งแต่ล้วนกองดอกไม้ทิพย์อันตกลงมาสูงเสมอหลังม้า
ขบวนพระราชกุมารสุทโธทนะมีท้าวมหาพรหม

ส่วนสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชก็ให้ตรวจเตรียมพลสารสินธพพยุหยาตร แลให้พระสิริสุทโธทนราชกุมารลงจากราชรถ เสด็จขึ้นทรงมงคลเศวตหัตถี อันมีนามรัตนป๎จจัยกุญชร เบื้องบนหลังดาดด้วยข่ายเงินทองแก้วทั้ง ๗ ประการ แลตั้งซึ่งสุวรรณรัตนปราสารทเป็นราชาอาสน์ที่สถิต มีกษัตริย์ศักยราชวงศ์ ๑๐๑ พระองค์แวดล้อมเป็นบริวาร แลท้าวสุทธาวาสมหาพรหมทรงซึ่งทิพยเศวตฉัตรอันใหญ่นําเสด็จไปในเบื้องหน้า และราชกุมารทั้งสอง คือ พระสุกโกทนะแลอมิโตทนะผู้เป็นพระอนุชาเสด็จทรงมงคลราชรถอันเดียวกัน พร้อมด้วยจตุรงคโยธาหาญแห่ตามท้าวมหาพรหมไปในเบื้องหน้าพระคชาธารพระสิริสุทโธทนเชษฐา สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชก็เสด็จแวดล้อมด้วยขัตติยวงศ์ศักยราช ๖๐๐,๐๐๐ ไปในเบื้องหลัง ช้างพระที่นั่งพระราชโอรส แลหมู่เทพยดาทั้งหลายก็แวดล้อมไปเป็นอันมาก กษัตริย์ทั้งสองฝ่าย เสด็จมาถึงซุ้มทวารพระอุทยานแล้วเสด็จเข้าสู่มหามณฑปกับด้วยเทพยเจ้าทั้งปวง
พรหมสุทธาวาสจูงพระสุทโธทนราชกุมาร นางสุชาดาธิดาอสูร
จูงพระราชธิดามายาให้ทรงจับพระหัตถ์อภิเษกสมรส

ฝ่ายท้าวสุทธาวาสมหาพรหมกําหนดซึ่งกาลอันได้อุดมมหุติฤกษ์แล้ว ก็จูงพระหัตถ์พระสิริสุทโธทนราชกุมารขึ้นสถิต ณ เบื้องบนกองแก้ว นางสุชาดาอสุรินทรธาดาก็จูงพระหัตถ์พระสิริมหามายาขึ้นสถิตบนรัตนราศีที่อภิเษกนั้น แลกษัตริย์ทั้งสองก็จับพระหัตถ์ซึ่งกันและกัน สมเด็จท้าวสหัสนัยน์ ก็เปุาทิพย์วิไชยุตมหาสังข์ทักขิณาวัฏ ป๎ญจสิขคันธรรพเทพบุตรก็ดีดซึ่งพิณสามสาย เทพยดา มนุษย์ทั้งหลายก็ประโคมทิพยดุริยางค์แลมนุษย์ดุริยางค์ บันลือศัพท์โกลาหลนี่สนั่นพร้อมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว แลท้าวสุทธาวาสมหาพรหมก็หลั่งทิพย์อุทกธาราจากรัตนภิงคาร ถวายมุทธาภิสิญจนาการแล้วกล่าวมงคลสาประสิทธิ์พรโดยอเนกบรรยาย
เกิดแผ่นดินไหวและพระราชมารดาบูชาหมู่เทพ
ขอให้พระธิดาประสูติพระโอรสแล้วได้เป็นพระสัพพัญญู

ขณะนั้น ก็บังเกิดมหัศจรรย์ต่างๆ มีพื้นพสุนธรากัมปนาทเป็นต้น อันว่าห่าฝนแก้ว ๗ ประการก็บันดาลตกลงจากอากาศเต็มตลอดปริเวณโยชน์หนึ่ง โดยรอบมหามณฑปนั้น เทพยดาทั้งหลายทั่วจักรวาฬก็โปรยปรายสัตตรัตนมณี นฤโฆษศัพท์สาธุการเอิกเกริกโกลาหลบันลือลั่นเป็นอันเดียว ตั้งแต่พื้นภูมิภาคตลอดถึงภวัครพรหม แลกษัตริย์ทั้งหลายมีสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชเป็นอาทิ แลมหาชนบรรษัทเห็นมหัศจรรย์ดังนั้น ก็มีโลมชาติสยดสยอง แซ่ซ้องสรรเสริญพระกฤษดาภินิหารแห่งกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์เสียงนฤโฆษ ครุวนาดุจเสียงมหาเมฆอันกึกก้องในท้องมหาสมุทรส่วนพระสุนันทาเทวีก็จุดธูปเทียนกับทั้งสุคนธบุปผชาติบูชาเทพยดาทั้งหลาย แล้วตรัสประกาศด้วยบาทพระคาถาว่า สพฺเพ เทวา จ นาคา จ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่เทพยดาทั้งหลายอันมีมหิทธิฤทธิ์ จงสดับคําแห่งข้าพเจ้า ขอให้ราชธิดาของข้าพเจ้าประสูติพระโอรส ให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญํูพุทธเจ้าในโลก เป็นอาทิดังนี้ วนฺทิตฺวา แล้วถวายวันทนาบูชาแก่กษัตริย์ทั้ง ๒ แลบรรดากษัตริย์ทั้งหลายมีสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชเป็นอาทิ ก็อภิวาทบูชาแก่กษัตริย์ทั้ง ๒ ดุจนั้นท้าวมหาพรหมแลเทพยดาก็กระทําสักการบูชาด้วยนานาทิพยสุคนธ์ กุสุมชาติเหล่าอสุรราชทั้ง ๘ คนก็บูชาด้วยผลมะตูมสุกอันนํามาแต่ปุาหิมพานต์ ท้าวเวสวัณมหาราชก็บูชาด้วยทิพยภูษาต่างๆ อันตกลงแต่ไม้กัลปพฤกษ์ บนยอดหิมวันตบรรพตกับทั้งผลหว้าอันเกิดแต่ชมพูพฤกษ์ประจําทวีป แต่เครื่องสักการบูชาแห่งเทพยดาทั้งหลายกองสูงชั่วลําตาลหนึ่ง แลหมู่อมรินทรพรหมต่างถวายมงคลพรมีอเนกประการ แลเล่นมหรสพสมโภชถึง ๗ วันเป็นกําหนด แล้วท้าวเทพยดาทั้งหลายก็ถวายโอวาทนุศาสน์ให้ตั้งอยู่ในเบญจางคิกศีล แล้วก็นิวัตนาการสู่เทวโลก
ให้สร้างปราสาท ๓ องค์ในกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อคู่อภิเษก
ส่วนสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชและกษัตริย์ทั้งปวงยับยั้งอยู่ในมณฑป เล่นการมหรสพสมโภชทุกทิวาราตรีถ้วนถึงไตรมาส แล้วดําริกาลที่จะกลับยังกรุงกบิลพัสดุ์ในเชษฐมาสกาฬป๎กษ์ จึงตรัสสั่งกษัตริย์ศักยราช ๓๐๐,๐๐๐ กับสุทธิย์อมาตย์ให้ไปสร้างปราสาทองค์หนึ่ง ณ กรุงกบิลพัสดุ์ มีพื้นได้ ๗ ชั้น มีเสา ๕๐๐ ต้น แล้วไปด้วยไม้จันทร์ถวายนามจันทนปราสาท แล้วให้พระสุกโกทนราชโอรสกับกษัตริย์ ๑๐๑ องค์ ไปสร้างปราสาทอีกองค์หนึ่ง มีพื้น ๙ ชั้น มีเสา ๕๐๐ ต้น แล้วไปด้วยไม้ราชพฤกษ์ ส่วนสมเด็จพระเจ้าชนาธิปราชก็ตรัสใช้พระขัตติยวงศ์ทั้งหลายกับสุปดิษฐอมาตย์ไปสร้างปราสาท ณ กรุงกบิลพัสดุ์อีกองค์หนึ่งมีพื้น ๗ ชั้น มีเสา ๑,๐๐๐ ต้น แล้วไปด้วยไม้แก่นทั้งสิ้นแลการสร้างปราสาททั้ง ๓ สําเร็จแล้วก็กลับสู่เมืองเทวทหนคร สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชก็ให้ตกแต่งประดับมรรคาตั้งแต่เมืองเทวทหนครถึงกรุงกบิลพัสดุ์ แล้วให้ราชโอรสแลพระสุณิสาขึ้นทรงอลงกตกาญจนราชอันเดียวกัน มีอเนกนิกรคณานางกํานัล ๑๐๐,๐๐๐ กับกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ แลขัตติวงศาศักยราช ๖๐๐,๐๐๐ ตามเสด็จแวดล้อมเป็นบริวาร ส่วนพระองค์ก็ทรงคชาธารแวดล้อมด้วยจตุรงคโยธาหาญ เสด็จยกพยุหะแสนยาพลากรไปในเบื้องหน้า
ใช้เวลา ๔ เดือนครึ่งขนสิ่งต่างๆ ไปกรุงกบิลพัสดุ์
ทรงมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ฝ่ายพระเจ้าชนาธิปราชก็เสด็จยาตราพลาพลไปในเบื้องหลัง ให้นําเอาสรรพสวิญญาณวัตถุแลอวิญญาณวัตถุซึ่งจะพระราชทานแก่พระราชธิดา เป็นต้นว่าทาสีทาสาสิ่งละแสนโกฏิแลช้างพัง ๑,๐๐๐ ช้างพลาย ๑,๐๐๐ สินธพชาติ ๘๔,๐๐๐ อุสุภกาสรสิ่งละอักโขเภณีตามไปภายหลัง แลหนทางตั้งแต่เมืองเทวทหนครจนถึงกรุงกบิลพัสดุ์นั้น โดยกว้างถึง ๓ โยชน์เต็มไปด้วยสัตว์แลมนุษย์ทั้งหลายหาระหว่างมิได้แลหมู่มหาชนนําไปซึ่งพัสดุสิ่งของทั้งปวงสู่กรุงกบิลพัสดุ์ถึง ๔ เดือนกึ่ง จึงถึงพร้อมบริบูรณ์สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชทรงทํามงคลราชาภิเษกกษัตริย์ทั้ง ๒ เหนือรัตนบัลลังก์ถึงสามครั้ง แล้วอัญเชิญเสด็จขึ้นสถิต ณ จันทนปราสาท แล้วมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสครองมไหศวริยสมบัติแทนพระองค์ บรรดากษัตริย์ทั้งหลายมีสมเด็จพระเจ้าชนาธิปราชเป๐นอาทิ ก็ถวายบังคมลากลับไปสู่พระนครแห่งตนๆ สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนมหาราชและพระสิริมหามายาเทวี ก็ทรงอุป๎ฏฐากพระราชชนกชนนีโดยเคารพแลทรงปฏิบัติในเบญจางคิกศีล แลทศพิธราชธรรมโดยโบราณราชประเพณีทุกประการราชา สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชทรงพระชราโรคาเบียดเบียนก็เสด็จทิวงคต สมเด็จพระราชโอรสและพระราชสุณิสา กับพระขัตติยประยูรคณามัจจามาตย์ทั้งปวง ก็ประชุมกระทําการฌาปนกิจถวายเพลิงพระบรมศพโดยอุฬาริกกราชสักการบูชา สิริสุทฺโธทโน สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนมหาราชก็เสวยมไหศวริยราชถวัลยรัชสืบสันตติวงศ์ดํารงพิภพกรุงกบิลพัสดุ์ เสวยสิริสมบัติกับด้วยพระสิริมหามายาสุขุมาลชาติราชเทวีเป็นบรมสุข

วิวาหมงคลปริวรรต ปริจเฉทที่ ๑ จบ