วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

คุณและอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ (๒)

คุณและอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ
เท่าที่ปรากฏเห็นประจักษ์แล้ว
รื่องที่  ๑๑
                                                                                                                กองวิทยาการ  กรมโลหกิจ
๒๓  ตุลาคม  ๒๔๙๙
นายอนันต์   คณานุรักษ์  ที่นับถือ
                คงจำผมได้เมื่อคราวไปเยี่ยมที่บ้านปัตตานี  และรับแจกพระเครื่องหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  จากคุณมา ๔  องค์
                บัดนี้ผมมีจิตศรัทธา  อยากจะร่วมสร้างโบสถ์  ณ วัดช้างให้  และปฎิสังขรณ์เจดีย์ที่บรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดจึงได้ส่งเงินมาพร้อมจดหมายนี้ ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาท)ในนามคุณเป็นผุ้รับ  ขอได้รับเงินนี้และดำเนินการทำบุญตามที่ผมศรัทธาด้วย
                                                                                 ขอแสดงความนับถือจากผม

                                                                                                    ขุนโลหภุมิพิทยานุการ
เรื่องที่ ๑๒
                เป็นจ.ม. ของท่านขุนโลหภูมิพิทยานุการ  ถึงข้าพเจ้าฉบับที่ ๒ ความว่า  เรื่องเกี่ยวกับพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ  สำหรับผมได้รับความคุ้มครองจากท่านเป็นอย่างดี  ผมนำท่านติดตัวไปเสมอ ปรากฏว่าได้มีอภินิหารที่ท่านได้ช่วยคุ้มครองภรรยาของผม   คือเวลาภรรยาของผมไปไหนมาไหนได้นะพระเครื่องติดตัวไปเสมอ   วันหนึ่งนั่งรถยนต์ที่บ้านจะไปธุระพอถึงถนนสี่แยกรถเกิดเครื่องดับทันที   สตาร์ทก็ไม่ติด  ทันทีนั้นก็มีรถยนต์อีกคันหนึ่งที่วิ่งสวนมา  ทำให้รถยนต์คันนั้นแฉลบขึ้นทางเท้าเกิดเสียหายมาก   เมื่อรถเขาชนแล้ว  รถภรรยาผมก็สตาร์ทติดวิ่งได้ต่อไปเป็นปกติ  ผมคิดว่าหลวงพ่อทวดฯ  ท่านคงแสดงอภินิหารคุ้มครองไว้  รถผมจึงวิ่งปลอดภัยจากการถูกชนและก็มีบ่อยๆ ที่ผมขับรถไปมักจะแคล้วคลาดจากอุปัทวเหตุนานาประการเสมอ  ส่วนโชคลาภนั้นพอประมาณ
                                                                                                                    รักและนับถือ
                                                                                                          ขุนโลหภูมิพิทยานุการ
เรื่องที่ ๑๓
                กองบังคับการตำรวจภูธรภาค  ๘  นครศรีธรรมราช
เรียนคุณอนันต์  ที่เคารพ
                ความศักดิ์สิทธิ์  และอภินิหารของพระเครื่องหลวงพ่อทวดนั้นผมมั่นใจเหลือเกินว่าต้องเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ทั้งหลาย  ทุกครั้งที่ผมมีกิจธุระ  ได้อาราธนาท่าน  ผมรู้สึกขนลุกทั้งตัวและได้กลิ่นน้ำมันจันทน์ ( ในองค์พระเครื่องไม่มีน้ำมันจันทน์ผสม )  ผมถือว่าท่านรับคำอาราธนาของผม ๆ จึงอยู่เย็นเป็นสุข  และปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง  ผมเคารพและบูชาองค์ท่าน ด้วยใจมั่นคงและความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ
                                                                                                                    ด้วยความรักและเคารพ

                                                                                                                ร.ต.ท.เลื่อน  อินทรสุวรรณ
เรื่องที่ ๑๔
                                                                                                                ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา
๑๙    สิงหาคม  ๒๔๙๙
เรียนคุณอนันต์  ที่เคารพ
                หลังจากผมรับพระเครื่องหลวงพ่อทวดไว้แล้วประมาณ ๖-๗ วันภรรยาของผมป่วยมาก  จึงนิมนต์องค์พระลงแช่ทำน้ำมนต์แล้วให้เขาดื่ม  พร้อมกับแพทย์ฉีดยาระงับประสาท  ป่วยตอนเย็นเวลาค่ำก็หายป่วย  รุ่งขึ้นไปไหนมาไหนได้เป็นปกติ  แต่ก่อนเขาเคยเจ็บหนักมาแล้วครั้งหนึ่ง  ต้องนอนป่วยอยู่หลายวัน  การที่หายป่วยเร็วในครั้งนี้  ผมเชื่อว่าเป็นด้วยอำนาจอภินิหารของหลวงพ่อทวดช่วยเป็นแน่  เพราะการฉีดยาของแพทย์นั้น  ก็เพียงระงับประสาทให้นอนหลับเท่านั้น  การที่เขาหายป่วยต้องเป็นอำนาจอภินิหารของท่านเป็นแน่  หลังจากนั้นมาจนบัดนี้ ๑๐ กว่าวันแล้ว  ภรรยาของผมไม่มีอาการปวดศีรษะอย่างที่เคยเป็นเลย
                                                                                                    เคารพอย่างสูง
                                                                                                      ผสม  จิตขุ่ม

                                                                                               ผู้พิพากษาศาลนครราชสีมา
เรื่องที่ ๑๕
                                                                                                                โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
                                                   ๗  พฤศจิกายน ๒๔๙๙
เรียนอาจารย์   ที่เคารพยิ่ง
                คณะของผมชื่นชมยินดีที่ได้รับพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ  จากอาจารย์ยิ่ง   ได้มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นเรื่องหนึ่ง  อยากจะเรียนถามอาจารย์ว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงเป็นไปเช่นนั้น   กล่าวคือ   ในตอนบ่ายหลังจากคณะของผมรับพระเครื่องจากอาจารย์ที่ปัตตานีแล้ว  ออกเดินทางโดนรถยนต์ถึงที่พักแรม ณ  โรงเรียนสตรี จ.ยะลา  พลตรีหม่อมหลวงคำรณสุทัศน์  ณ  อยุธยา  
    ผู้บังคับการโรงเรียนเสนาธิการทหารบกได้มอบพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ  ที่เหลือจากแจกในคณะให้กับพันโท  ( เวลานี้เป็นพันเอก )  สิทธิ์  จิราโรจน์  ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของคณะ   ก่อนจะเข้านอนท่านได้เก็บพระไว้ในกระเป๋าเดินทาง   แล้วตั้งไว้ใต้เตียงบนหัวนอน  และพากันนอนเวลา ๔ ทุ่ม  เวลาประมาณตีสอง  ท่านรู้สึกหนาวจึงลืมตาขึ้น   ปรากฏว่าได้นอนอยู่บนกระเบื้องกันสาด   ซึ่งไม่ทราบว่าออกไปได้อย่างไร  ท่านออกไปนอนอยู่ด้านสุดของกันสาดหากพลิกตัวนิดเดียวก็จะพลัดตกลงพื้นดินแน่และอาจจะได้รับบาดเจ็บ  ท่านรู้สึกตกใจมาก  ปลุกคนโน้นคนนี้ยุ่งไปหมดเล่าเรื่องให้เพื่อน ๆ นายทหารฟังเสียงสั่นละล่ำละลักพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่อง  เพราะความตื่นตกใจมากเกินไป  นายทหารทุกคนพากันวิจารณ์ต่าง ๆ นานา  สรุปแล้วทุกคนเชื่อแน่ว่า  ต้องเกี่ยวกับพระเครื่องหลวงพ่อทวดเหยียบทะเลน้ำจืด  เป็นแน่แต่ไม่ทราบว่าท่านจะลงโทษในเรื่องใด  หรือแสดงว่าแม้แต่เวลานอนหลับก็ให้ความคุ้มครอง   ให้ปลอดภัยจากการตกจากหลังคากันสาด  ผมจึงตัดสินใจถามมา   ผมรู้สึกว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ผลดีมาก  ทำให้พวกผมทุก ๆ คนเกิดความเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อทวด ฯ  ขึ้นมาประหลาด  จึงเรียนมาให้ทราบ
                                                                                                      ด้วยความเคารพนับถือ
                                                                                                 พันเอก  ประสิทธิ์  เวชสวรรค์
                หลังจากรับจ.ม.ของพันเอกประสิทธิ์แล้ว  ก็ได้รับจ.ม. ของพลตรีสิทธิ์  จิรโรจน์  ดังนี้

โรงเรียนเสนาธิการทหารบก๒๙ กุมภาพันธ์  ๒๔๙๙
เรียนคุณอนันต์  ที่เคารพ
                เรื่องอภินิหารของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดนี้ว่าคงได้รับทราบแล้ว  เพราะเกิดกับตัวผมเอง  คือผมเป็นผู้อำนวยการศึกษา  ของนายทหารโรงเรียนชุดที่ไปทั้งหมด  วันนั้นผู้บังคับการโรงเรียนรับพระจากคุณมาแล้วออกรถเดินทางถึงจังหวัดยะลา  ท่านผู้บัญชาหารมอบพระให้ผมทั้งหมด  เพื่อแจกจ่ายแก่นายทหารในเย็นวันนั้น  พอเวลาค่ำนายทหารชุมนุมพร้อมกัน  ผมจึงจ่ายพระให้ทุกๆ นาย  แต่บางส่วนไม่ยอมรับเพราะเหตุใดผมไม่ทราบ  พระจึงคงเหลืออีก ๑๐ องค์ผมจึงเอาห่อพระใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง  ซึ่งตั้งอยู่ปลายตีนเตียงนอน   เมื่อใส่พระแล้วผมจึงเลื่อนมาตั้งใต้เตียงตอนหัวนอน  คิดว่าคงไม่เป็นการลบหลู่พระแต่อย่างใด   ที่ไหนได้ผมตื่นขึ้นปรากฏว่า  ผมนอนอยู่ชายคากันสาดด้านซ้ายสุด  ถ้าพริกตัวทีเดียวก็คงตกลงพื้นดินจะได้รับบาดเจ็บ  ผมไม่เคยนอนละเมอเลยประตูห้องนอนก็ปิด   ผมรู้สึกผิดปกติจึงขอขมาอภัยต่อท่าน   จากนั้นก็หลับสบาย  นายทหารทราบข่าวนี้จึงขอพระเพิ่มอีก  กรุณาส่งสัก ๕๐ องค์  จะได้แจกจ่ายแก่นายทหารต่อไป
                                                                                                                   ขอแสดงความนับถือ

                                                                                                                  พลตรี  สิทธิ์  จิรโรจน์
เรื่องที่ ๑๖
๒๘๗     ถนนอำนวยสงคราม  พระนคร
๑๖    พฤศจิกายน  ๒๔๙๙
เรียนอาจารย์   ที่เคารพ
                สำหรับอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ  นั้นได้ปรากฏขึ้นแก่ผมครั้งหนึ่ง   คือตั้งแต่ผมกลับจากทัศนาจรภาคใต้พร้อมด้วยคณะนายทหารแล้ว   ผมเก็บพระไว้บนหิ้งพระที่บ้านมิได้เอาติดตัวไปไหนเลย   วันหนึ่งผมเอาพระหลวงพ่อทวด ฯ ไปให้ช่างเลี่ยมเพื่อห้อยคอ  จึงพกใส่กระเป๋าเสื้อไปผมขับรถมอเตอร์ไซร์พ่วงข้าง   แล่นออกจากตรอกด้วยความเร็ว  ไม่ทันเห็นรถแท็กซี่เรโนล์มาทางซ้ายเกิดปะทะกับตัวผมเอง  ลูกชายผมนั่งในพ่วงข้าง  ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อยแต่รถเลโนล์เสียหายมาก  ผมคิดว่าต้องเสียหายหลายร้อยบาทครั้นถามคนขับรถเขาบอกว่าไม่เอาอะไร  ขอให้แต่งรถให้เขาเท่านั้น  ผมจึงพาไปที่ทำการขนส่งทหารบก  ออกปากเพื่อน ๆ เท่านั้นเขาได้ช่วยกันทำเป็นการใหญ่  ซ่อมชั่วโมงครึ่งก็เรียบร้อย  ผมเสียค่าโอเลี้ยงไปไม่กี่ถ้วย  ผมเชื่อว่าเป็นอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ แน่ ๆ ดูอะไร ๐ ก็สะดวกไปเสียหมด  และปลอดภัยทั้งผมทั้งบุตร  เป็นที่อัศจรรย์จากผมและเพื่อน ๆ อย่างยิ่ง  จึงเรียนมาให้ทราบ
                                                                                                          ด้วยความเคารพ
                                                                                                  พันโท กิติศักดิ์  ฉวีงาม
เรื่องที่ ๑๗
                                                                                                                โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
       พฤษภาคม  ๒๔๙๙
เรียนท่านอาจารย์  ที่เคารพยิ่ง
                เมื่อผมกลับจากทัศนาจรภาคใต้พร้อมกับคณะ  ก็ได้หยุดพักชั่วคราว  โอกาสนั้นผมได้ได้เยี่ยมบ้านที่จังหวัดพิจิตรและในการเดินไปเยี่ยมบ้านของผมคราวนี้  ได้ประสพอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ  อย่างหนึ่ง  กล่าวคือ  ผมได้พาครอบครัวไปหมด ลงจากรถไฟเวลาประมาณ ๕ โมงเย็นโชคร้ายเหลือเกิน   เพราะเมื่อวานนี้ฝนตกหนักถนนรถยนต์เดินไม่ได้  ผมจำเป็นต้องเดินกลับจากสถานีเป็นระยะทางถึง ๔ ชั่วโมง   ซึ่งถนนเป็นทางเกวียนและต้องผ่านทุ่งนา  ในเวลาค่ำคืนฝนตั้งเค้าทำท่าจะตกหนักอีก ผมเริ่มเป็นทุกข์ใจเพราะถ้าฝนตกลูก ๆ ของผมจะต้องเปียกฝน  อาจจะเจ็บป่วยกันเป็นแน่  เพราะเครื่องกันฝนก็ไม่มีพอ  หมดปัญญาเสียแล้วก็นึกถึงหลวงพ่อทวดฯได้เลยขออาราธนาท่านให้ช่วยปัดเป่าลมฝนให้  ผมเดินต่อมาสักครู่ท้องฟ้าอันดำมืดและฟ้าที่กำลังคำรามอยู่ไม่ขาดเสียงนั้น  เริ่มแจ่มใสขึ้นจนท้องฟ้าสว่างมองเห็นดวงดาว  ผมแทบไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เพราะท้องฟ้าแทบจะถล่มลงมาอยู่แล้วทั้งพายุก็โหมลงมาอย่างแรง   คล้าย ๆ กับว่าแทบจะสุดกลั้นที่จะไม่ให้ฝนตก  ทั้งทีละอองฝนลงมาบ้างแล้ว    ผมเริ่มวิตกมากขึ้น  แต่ที่สุดฝนก็ไม่ตก  ในเวลานี้ส่วนตัวผมมีความเชื่อมั่นในอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ ท่านเหลือเกิน
                                                                                                               ด้วยความเคารพอย่างสูง
                                                                                                            พ.อ.ประสิทธิ์   เวชสวรรค์
เรื่องที่ ๑๘
                                                                ร.ร.เสนาธิการทหารบก
๑๑ พฤศจิกายน  ๒๕๐๐
เรียนอาจารย์  ที่เคารพ
                อาจารย์ครับ  ผมมีเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารหลวงพ่อทวด ฯ ที่ผมได้ประสพมา   และอยากจะเล่าให้อาจารย์ฟังกล่าวคือเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๐๐  ทางโรงเรียนได้พาคณะอาจารย์ออกเดินทาง  ไปตรวจภูมิประเทศทางภาคอีสานโดยทางรถยนต์พร้อมกับนำนักเรียนนายร้อยชุดปัจจุบันไปทำการฝึกภาค    วันที่ ๑๑  ตุลาคม  เป็นเดินทางออกจากขอนแก่นจะไปพักแรมที่ จ.นครราชสีมา เมื่อรถยนต์แล่นมาถึงสถานีบ้านไผ่  ประมาณ ๘ ก.ม. รถคันที่ผมนั่งมาด้วยนั้นเกิดพลิกคว่ำลงอย่างแรงเพราะรถแล่นลงตามทางลาดต่ำและวิ่งไปด้วยความเร็วสูง  รถจะเลี้ยวโค้งเป็นมุมฉาก  เมื่อตัดข้ามทางรถไฟ    เนื่องจากคนขับไม่เคยทาง  จึงไม่ทราบลักษณะของโค้ง    จึงขับด้วยความเร็ว ๕๐ ถึง ๖๐ ก.ม.  ต่อชั่วโมงเลยพริกคว่ำอย่างไม่เป็นท่าลงตรงนั้นเอง   รถพลิกคว่ำลงข้างทางอันเป็นที่ลาดต่ำมากสี่ล้อชี้ฟ้าไปเลย  ครอบเอาพวกเราไว้ในกะบะรถนั่นเอง   ขณะรถทำท่าจะพลิกคว่ำนั้นผมตกใจมากร้องตะโกนโดยไม่รู้สึกตัวว่า “ หลวงพ่อทวดช่วยด้วย 
                สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ  รถนั้นน่าจะพลิกคว่ำต่อไปตามทางลาดต่ำอีกหลายทอด  แต่ก็ไม่พลิก  น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือพวกเราคลานออกมาจากใต้กะบะรถทีระคน ๆ ด้วยความปลอดภัยไม่มีใครเป็นอะไรเลยก็ว่าได้  เพราะอย่างมากก็ต้องมีแผลฟกช้ำดำเขียวเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
                พวกขับรถโดยสารมาพบเข้าหยุดถามว่า “ ตายกี่คน ”   จึงบอกเขาว่าไม่เป็นไร  เขาบอกว่าเมื่อรถคันใดพลิกตรงนี้จะไม่มีคนตายนั้นไม่เคยมี  เมื่อพวกเราตรวจดูรถที่คว่ำแล้วก็ปรากฏสิ่งที่น่าแปลกใจอีกว่า  ที่รถไม่พลิกลงตามลาดอีกต่อไปเป็นเพราะถังน้ำมันเบนซินขนาด ๒๐๐ ลิตร ๓ ถัง  ที่บรรทุกอยู่ในรถคันนี้  มีอยู่ ๒ ถัง  ตกลงไปรองรับขอบกะบะรถด้านลาดต่ำข้างหน้า ๑ ถัง ข้างหลัง ๑ ถัง  อีกถังหนึ่งกระเด็นกลิ้งไปไกลจากพวกเรา  มิฉะนั้นคงจะทับพวกเราบี้แบนไปหมดแน่     น่าคิดว่ามีอภินิหารอะไรที่เอาถังน้ำมันไปรองรับขอบกะบะรถมิให้รถพลิกต่อไป ถึง ๒ ถัง  และตั้งรับไว้ในที่อันเหมาะสมเช่นนี้  ทำให้พวกเราปลอดภัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนักนายทหารทุกคนโจทย์กันว่าในจำนวนพวกเรามีของดีแน่ ๆ และในขณะรถวิ่งเร็วได้แฉลบมาหลายครั้ง  ผมอาราธนาให้หลวงพ่อทวด ฯ ช่วยทุกครั้ง  และขณะรถพลิกคว่ำครั้งนี้ผมก็กำลังตกใจร้องตะโกนว่า  “ หลวงพ่อทวดช่วยด้วย    นี่แหละครับเรื่องที่ผมประสพมา
                                                                                                                    เคารพยิ่ง
                                                                                             พันเอก  ประสิทธิ์  เวชสวรรค์
                                                                                      ( ขณะนี้เป็นอาจารย์วิทยาลัยกองทัพบก)
เรื่องที่ ๑๙
                                              กองบินน้อยที่ ๗ สัตตหีบชลบุรี
๘  ตุลาคม ๒๔๙๘
เรียนอาจารย์  ด้วยความเคารพ
                ผมขอเล่าเรื่องอัศจรรย์เกี่ยวแก่อภินิหารหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  มาให้อาจารย์ทราบคือ
                ผมต่อเรือยนต์ให้  พลเรือตรี หม่อมเจ้ารังสียากรใช้ในสัตตหีบ ๑ ลำ   ต่อมาท่านให้นักบินกับช่างเครื่องนำเรือนี้เข้ากรุงเทพ ฯ     โดยมีเรือยนต์ของตำรวจเป็นพี่เลี้ยงคุ้มกันระหว่างทางเพราะเป็นเรือใหญ่   ส่วนเรือที่ผมต่อยาวเพียง ๑๘ ฟุตเท่านั้น การนำเรือจากสัตตหีบ  เข้ากรุงเทพ ฯ จะต้องแล่นฝ่าคลื่นลมไปกลางทะเลราว ๆ ๑๔ ชั่วโมง  จึงจะถึงกรุงเทพ ฯ  ก่อนนำเรือเล็กเดินทางผมเป็นห่วงเกรงว่าจะเกิดอันตรายเสียกลางทะเล  ผมจึงอาราธนาหลวงพ่อทวด ฯ และขอน้ำมนต์พรมเรือ  ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย  ต่อมาหลายวันนักบินและช่างเครื่องกลับมาถึงสัตตหีบ ได้เล่าให้ผมฟังว่า  เมื่อเรือทั้ง ๒ ลำแล่นไปถึงเกาะสีชัง  ท้องทะเลเกิดพายุและฝนตกหนักละลอกคลื่นใหญ่โตมาก  นักบินและช่างเครื่องเห็นภัยจะเกิดขึ้นเช่นนั้น  ก็เตรียมตัวถอดเสื้อและกางเกงนอกออกเหลือแต่กางเกงใน   นั่งชูชีพมั่นอยู่  เรือทั้งสองลำได้โต้คลื่นและพายุมากลางทะเลอย่างแรง  เป็นเวลานานถึง ๒- ๓ ชั่วโมง  จึงสงบปรากฏว่าละลอกคลื่นสาดขึ้นท่วมเรือ  แต่น้ำไม่ได้เข้าในลำเรือจึงปลอดภัย  ส่วนเรือตำรวจซึ่งเป็นเรือพี่เลี้ยงคุ้มครองเรือเล็กต้องเสียหายคือเพลาใบพัดหัก  หางเสือบิดไม่สามารถแล่นต่อไปได้เรือเล็กต้องกลับเป็นเรือพี่เลี้ยง  เรือลำใหญ่ลากจูงเข้าสู่กรุงเทพ ฯ พิจารณาดูเอาเองเถอะครับว่า  อภินิหารของพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ มีอภินิหารอย่างไร
                                                                                                      ด้วยความเคารพนับถือ

                                                                                                          บุญเกิด  กู้เกียรติ
เรื่องที่ ๒๐
จังหวัดนราธิวาส
๑๙    มิถุนายน  ๒๔๙๙
เรียนคุณอนันต์  คณานุรักษ์  ที่นับถือ
        ผมได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดชุมพร  เมื่อวันที่ ๒๘  เมษายน  ปีนี้ ผมได้มอบพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ให้แก่เด็กของผมคนหนึ่งชื่อนายเขียว  เขารับพระจากผมไปแล้วได้เอาพระไปแขวนไว้กับเสาหลัก  ห่างจากตัวประมาณ ๗,๘วา  เขาเตรียมจะยิง  ผมมองเห็นจึงร้องห้ามว่าอย่า  แต่ทันใดนั้นเขาน้าวไกปืนเสียงดังแชะ  เขาน้าวไกครั้งที่สองอีกที   กระสุนจึงระเบิดขึ้น  ปรากฏว่าปืนแตกเป็นสองท่อนทันที  แต่นายเขียวไม่ได้รับอันตรายใด ๆ  เขาสูญเสียปืนแก็ปไป ๑ กระบอก ข่าวนี้เล่าลือกันมากในจังหวัดชุมพร  เพราะมีผู้รู้เห็นมากคนจึงเล่ามาให้คุณทราบ
                                                                                              ด้วยความนับถือ

                                                                                             ขุนเจนเวชศาสตร์
คัดลอกจากหนังสือเรื่องประวัติหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและคุณอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ  วัดช้างให้ ตำบลป่าไร่  อำเภอโคกโพธิ์  จังหวัดปัตตานี   พิมพ์ครั้งที่๖  จำนวน 20,000เล่ม  พ.ศ.2535

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

คุณและอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ (๑)

คุณและอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ
เท่าที่ปรากฏเห็นประจักษ์แล้ว
___________
เรื่องที่ ๑
                ในงานพิธีแจกพระเครื่อง  สมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดวันแรก   มีเด็กชายกับเด็กหญิงหมนสองคนพี่น้อง  ได้รับแจกพระทั้งสองคน  เด็กหมนเมื่อได้รับพระแล้วก็เอาพระห่อชายพกกลับบ้าน  ได้เอาพระเครื่องโยนขึ้นแล้วใช้มือรับเช่นเดียวกับก้อนหินเล่นตามประสาของเด็กแต่รับไม่ทันพระจึงตกลงบนพื้นดิน  เขาจึงก้มลงเก็บพระด้วยมือ  ทันทีนั้นเด็กผู้ชายผู้นั้นก็ยืนแกว่งมือตกใจร้องไห้ขึ้นพ่อเขาจึงลงมาดูเห็นลูกยืนแกว่งมือร้องไห้อยู่  จึงเข้าไปจับมือแกะออกดู  ปรากฏว่ามีพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ  อยู่ในกำมือพ่อแม่ของเด็กทั้งสองเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ บันดาลให้เกิดขึ้น  เขาทั้งสองจึงนำลูกทั้งสองคนมาพบท่านอาจารย์เจ้าอาวาสที่วัดช้างให้ประมาณเวลา ๒๑.๐๐ น.  จึงมิได้ประสพด้วยตนเองแต่ได้รับคำบอกเล่าจากท่านอาจารย์ ฯ

                                                                                             นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
      เรื่องที่ ๒
                นายไสว  ปลื้มสำราญ  ครูประชาบาล  โรงเรียนตำบลบ้านไร่  ได้พบกับข้าพเจ้าที่วัดช้างให้  และเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าคืนวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๙๗ เวลากลางคืน  ภรรยาเขาถูกตะขาบกัด  มีอาการเจ็บปวดทุรนทุรายไม่ได้สติเวลาค่ำคืนเช่นนี้จะหายาที่ไหนก็ไม่ได้  นายธำรงบุตรชายคนโต  จึงนิมนต์พระเครื่องหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดวางลงบนน้ำพอเปียกแล้วเอาตั้งลงบนแผลนานประมาณ ๒-๓  นาที  แล้วก็หายปวดทันที  นายไสวบอกว่าเขาได้ประสพอภินิหาร  ของหลวงพ่อทวด ฯ ในครั้งแรกจึงเลื่อมใสวันนี้ผมจึงมาขอพระเครื่องอีก
                เรื่องเอาพระเครื่องรักษาคนถูกตะขาบกัดมีมากรายปรากฏว่าศักดิ์สิทธิ์นัก  แต่ผู้เขียนเห็นว่าไม่จำเป็นจะบันทึกลงทุกๆ คน  เพราะมีเรื่องอื่น ๆ อีกมาก

                                                                                          นายอนันต์ คณานุรักษ์  บันทึก

เรื่องที่ ๓
                เมื่อปลายเดือนเมษายน ๒๔๙๗  ในค่ำวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น   ข้าพเจ้าออกจากบ้านเพื่อจะไปซื้อของบางอย่าง ที่หน้าโรงภาพยนตร์ปัตตานี  ก่อนจะออกจากบ้านข้าพเจ้าได้พนมมือที่หน้าหิ้งพระ  ระลึกถึงหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  อฐิษฐานในใจว่า    ขอให้หลวงพ่อทวดคุ้มครองบ้านและบุตรด้วย  แล้วก็ออกจากบ้านไป เวลาประมาณ ๒๒.๐๐น  จึงกลับบ้าน  ขณะที่ข้าพเจ้าเดินกลับเข้าบ้านนั้นได้มองไปที่ประตูชั้นล่างอาศัยแสงสว่างข้างแรมสลัวๆ เห็นรูปคนดำทมึนยืนอยู่ ณ ที่นั้น  ข้าพเจ้าสะดุ้งตกใจนึกว่าคนร้ายจึงเหลียวกลับหลังเอาดุ้นฟืนมาถือไว้  แล้วร้องถามไปว่าใครแต่เงาดำรูปคนคงยืนโยกตัวโงนเงนอยู่ไปมา    ที่เดิมในขณะอึดใจนั้นข้าพเจ้าก็ระลึกขึ้นได้ว่า  อ้อ  หลวงพ่อทวดนี่เอง   ข้าพเจ้าจึงโยนดุ้นฟืนทิ้งแล้วยกมือพนมไหว้แล้วเดินเข้าไปหาเงาดำรูปนั้น  เมื่อเดินเข้าไปในระยะใกล้   เงานั้นก็สลายตัวจากรูปคน  คล้ายๆ กับควันบุหรี่ค่อยๆจางหายไปทีละน้อยจนหมด  นี่คืออภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ  ซึ่งข้าพเจ้าได้ประสพด้วยตนเอง
                                                                                                                 เผด็จ ณ  นคร
                                                                                                   แผนกช่างเทศบาลเมืองปัตตานี

                                                                                                            ๑๕ พฤษภาคม  ๒๔๙๗

เรื่องที่  ๔
                เมื่อปลายเดือนเมษายน ๒๔๙๗  นางมาลี  ภรรยาของนายล้วน  สมประสงค์  กรรมกรรถไฟ  โรงกุลีนาประดู่เจ็บท้องจะคลิดบุตรมาสองวันแล้ว  แต่คลอดไม่ออก  ผู้เจ็บมีอาการหนักมาก  เนื่องจากความยากจน  จึงไม่สามารถจะนำไปทำการคลอดที่โรงพยาบาลได้  เพราะไม่มีเงินว่าจ้างเหมารถจึงต้องนอนรอวาระสุดท้ายอยู่  บังเอิญเพื่อนร่วมงานของนายล้วนรู้เรื่องนี้  เขาจึงบอกให้นายล้วนรู้เรื่องนี้  เขาจึงบอกให้นายล้วนนำเอาพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ มาวางลงในขันน้ำ  แล้วจุดธูปเทียนบูชาขอเป็นน้ำมนต์เสดาะแล้วเอาน้ำมนต์ให้นางมาลีดื่มและพรมศีรษะ  ต่อมาชั่วครู่ ต่อมาชั่วครู่  นางมาลีผู้เจ็บคลอดก็มีกำลังและลมเบ่งลูกออกมาได้   แต่ปรากฏว่าเด็กนั้นได้ตายนานเสียแล้ว
                                                                                                               นายชาติ  สิมศิริ

                                                                                                      กำนัน  ตำบลนาประดู่  ผู้เล่าเรื่อง
เรื่องที่  ๕

                เมื่อปลาย  พ.ศ.๒๔๙๘  มีผู้หญิงไทยอิสลามคนหนึ่งคลอดบุตรเอามือออกมาก่อน   แต่ติดเพียงนั้น  เวลาผ่านมา ๓ วัน ๒ คืน   บุตรจึงตายอยู่ในท้อง  คนเจ็บหมดกำลังและลมเบ่ง   อาการเข้าเขตอันตรายญาติคนเจ็บมาตามภรรยาข้าพเจ้าซึ่งเป็นนางผดุงครรภ์แผนปัจจุบัน เมื่อภรรยาของข้าพเจ้าได้ไปตรวจดูแล้ว  ก็ทราบว่าไม่มีทางใดที่จะช่วยได้จึงแนะนำญาติของผู้ป่วยให้นำส่งโรงพยาบาลปัตตานี  แต่เขาไม่ยอมนำไปได้แต่ขอร้องให้ภรรยาของข้าพเจ้าช่วยแต่อย่างเดียว  เมื่อไม่มีทางใดที่จะใช้วิชาความรู้ช่วยได้แล้ว   เขาก็ระลึกถึงพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ   ซึ่งเขาเชื่อมั่นเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว  เขาจึงอาราธนาให้ท่านช่วยเสดาะลูกในครั้งนี้ด้วยพอจบคำอธิษฐานในใจก็ร้องคราญขึ้น  ภรรยาข้าพเจ้าจึงจับมือเด็กนั้นเขย่าเบา ๆ   ทันทีนั้นเด็กก็เปลี่ยนเอาก้นออกมา  เขาเห็นที่เป็นเช่นนี้นั้นเพราะถูกหลักซึ่งจะเอาก้นออกมา  เขาเห็นที่เป็นเช่นนั้นเพราะถูกหลักซึ่งจะช่วยด้วยวิชาความรู้ได้  จึงจัดการเอาเด็กออกจากท้องแม่ได้โดยง่ายดาย  ภรรยาของข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าเป็นด้วยคุณอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ ท่านดลบันดาลให้แน่ เพราะประสพมาแล้วเป็นที่ประจักษ์

เปี่ยม จุลวัธน์ ธ.บ.    
ทนายความจังหวัดปัตตานี



เรื่องที่ ๖
                มีอีกรายหนึ่งเมื่อพ.ศ. ๒๔๙๙ เวลากลางคืนผู้หญิงจีนมาที่บ้านข้าพเจ้า   และบอกว่าเขาปวดท้องจะคลอด (ผู้หญิงจีนคนนี้ฝากท้องกับภรรยาข้าพเจ้า )  ข้าพเจ้าว่าเขายังคลอดไม่ได้  เพราะภรรยาข้าพเจ้าไปทำคลอดที่อื่นยังไม่กลับมาเขาว่าเจ็บเต็มทนจะคลอดอยู่แล้ว  ข้าพเจ้าจนใจจึงรีบเข้าห้องพระ  กราบบูชาหลวงพ่อทวด ฯ  แล้วกล่าวว่า  ขอให้หญิงจีนคนนี้อย่าพึ่งคลอด   และขอให้ทางโน้นคลอดง่ายและให้ภรรยาข้าพเจ้ากลับเร็วๆเถิด  ประมาณ ๑๐ นาที  ภรรยาข้าพเจ้าก็กลับมาได้นำหญิงจีนเข้าห้องประมาณ ๕ นาทีก็คลอดอย่างง่ายดาย
                เมื่อภรรยาเสร็จธุระ  ข้าพเจ้าถามเขาว่าทำไมจึงได้กลับเร็ว   ทางโน้นคลอดแล้วหรือ  เขาตอบว่าคลอดแล้วหรือ  เขาตอบว่าคลอดแล้วขณะเขาล้างมือและทำความสะอาดนั้น  ได้ยินเสียงปราดกระซิบที่ข้างหูอยู่ว่าจงรีบกลับ  เขาสนใจในคำกระซิบนั้นจึงรีบกลับทันที  เจ้าของบ้านขอร้องให้นั่งพักเขาก็ไม่ยอมนั่ง  นี่ก็เกิดจากอำนาจอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ   ที่ภรรยาข้าพเจ้าได้ประสพมาทั้งสองเรื่อง
                                                                                                                                เปี่ยม  จุลวัธน์ ธ.บ.

                                                                                                   ทนายความจังหวัดปัตตานี
เรื่องที่  ๗
                ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคหืดหอบมาช้านาน  ได้รักษาด้วยยาแผนใหม่และแผนโบราณมามาก  แต่ก็ไม่หาย  ข้าพเจ้า  มีวัยชราแล้วคิดว่าคงจะมีซีวิตอยู่ไม่เกิน  พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นแน่อยู่มาวันหนึ่งอาการหืดกำเริบมากขึ้น  ไม่มีทางใดจะดับทุกข์ทรมานให้โรคนี้หายได้   บังเอิญนึกถึงหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเขาเล่าลือกันว่ามีคุณอภินิหารศักดิ์สิทธิ์นักจึงบอกให้นางนุ้ยภรรยาของข้าพเจ้า  ซึ่งเขาเป็นนักวิปัสสนาจัดดอกไม้ธูปเทียนเครื่องบูชา  แล้วนิมนต์พระวิญญาณของหลวงพ่อทวด ฯ   
   เข้าประทับทรงนางนุ้ย   เวลาชั่วครู่ต่อมานางนุ้ยก็ทรง  ข้าพเจ้าจึงได้พรรณนาถึงเรื่องที่ได้รับความทุกข์ทรมาน   ทางโรคหืดและหอบพร้อมทั้งขอยา   ท่านอยู่ในทรงได้บอกยาสมุนไพรให้พร้อมด้วยคาถาปลุกเสก   ให้ข้าพเจ้าต้มกินยาเป็นประจำ  แล้วท่านสั่งว่าถึงจะต้มยานี้ให้ผู้อื่นกินก็ได้และมึงอย่าเรียกร้องเอาค่ายาจากเขาแพง ๆ จงนึกถึงการกุศลเป็นสำคัญ  ข้าพเจ้าจึงจัดการหายามาต้มกิน  หม้อที่ ๑  อาการป่วยก็ทุเลาลง  หม้อที่ ๒ น้ำยาไม่ทันจะจืด  อาการหืดหอบที่เคยเป็นก็หายเป็นปกติมาจนบัดนี้  เพื่อน ๆ รู้ข่าวก็ขอให้ข้าพเจ้าต้มยานี้ให้กินรักษาโรคหืด  ปรากฏว่าหายมาหลายคนและข้าพเจ้าขอรับรองว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงซึ่งเกิดขึ้นแก่ตัวข้าพเจ้าและมีผู้รู้เห็นกันมา
                                                                           นายสุนทร   หะวิเกต
                                                                                                    ต. เจาะปริง  อ.สายบุรี
เรื่องที่ ๘
                วันหนึ่งในต้นเดือนตุลาคม  พ.ศ.๒๕๐๐ ร.ต.ตไพจิตร์  เกตุวิลัย  และจ่านายสิบวีระ  กองบังคับการตำรวจภูธร  ภาค ๙ จังหวัดสงขลา  ได้มาราชการที่จังหวัดปัตตานีและไปเยี่ยมข้าพเจ้าที่บ้าน   การสนทนาตอนหนึ่ง   จ่าวีระแจ้งเรื่องอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวดฯ    ให้ฟังว่าเขาเป็นโรคหืดหอบเรื้อรังมานาน   รักษามามากแล้วก็ไม่หาย
                วันหนึ่งอาการหืดหอบแรงขึ้น   เขาแสนจะทุกข์ทรมานบังเอิญได้นึกถึงคำเล่าลือว่า  พระเครื่องหลวงพ่อทวดฯมีความศักดิ์สิทธิ์ขลังนัก  อาราธนาทำน้ำมนต์กินแก้โรคทุกชนิดได้   เขาเข้าใจว่าเนื่องจากพระเครื่องประกอบขึ้นด้วยว่าน  ๑๐๘  จึงมีสรรพคุณเช่นนี้  เขาคิดว่าโรคหืดหอบของเขานั้นใช้แรงน้ำมนต์แช่พระเห็นจะไม่มีแรงพอ  ควรจะกินเนื้อพระเครื่องทั้งองค์  คงจะได้ผลแน่เขาจึงนำพระเครื่องเข้าในครัวซึ่งทุกๆ คนในบ้านไม่มีใครรู้   เขาจึงตำพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ จนละเอียดดีแล้วละลายน้ำกินจนหมด   โดยเขาคิดว่าได้กินผงว่านในองค์พระจะได้แก้โรคร้ายของเขา  แจ่ปรากฏว่าโรคร้ายก็ไม่ทุเลาลงเลย  กลับต้องทนทุกทรมานมาเป็นแรมเดือน   ต่อมาวันหนึ่งเขามาราชการที่จังหวัดปัตตานี  ได้รับคำแนะนำจาก  นายสามารถ  หะวิเกตุ  บอกให้เขาไปขอยาแก้โรคหืดหอบ  จากนายสุนทร  หะวิเกตุ  มารักษาโรคนี้
                หลังจากนี้ไม่นานจ่าวีระ  ได้ไปหานายสุนทรเพื่อขอยานายสุนทรจึงให้นางนุ้ยภรรยาเชิญหลวงพ่อทวดฯ  ทรงในนางนุ้ยแล้วก็ลุกขึ้นยืนเดินตรงเข้ามาที่จ่าวีระ  ทรงแสดงกิริยาเกรี้ยวกราดมาก  ทำท่าจะทุบตีและชี้หน้าจ่าวีระ  แล้วพูดว่า  มึงนะใจดำกินกูเข้าได้ (หมายถึงจ่าวีระกินพระเครื่อง )  แสดงกิริยาขึ้งโกรธจ่าวีระอยู่ชั่วครู่   จ่าวีระก็งงงันเพราะไม่รู้เรื่องอะไรได้แต่พนมมือไหว้นายสุนทรจึงแนะนำว่า   ผู้ที่ทรงนั้นคือหลวงพ่อทวดฯจ่าวีระนึกถึงเรื่องที่เขาเอารูปท่านหลวงพ่อทวด ฯ  ตำแล้วกินยิ่งเพิ่มความตกใจมากขึ้นในการกระทำของเขาครั้งนี้   จึงก้มลงกราบขอขมาโทษในสิ่งที่ผิดพลาดล่วงเกินท่านมาแล้วนั้นนางนุ้ยผู้ประทับทรงจึงพูดว่า  เอาละกูจะยกโทษให้มึงต่อไปมึงอย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด   และปลุกเสกยามอบให้จ่าวีระไปต้มกิน  จ่าวีระแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่าเขาได้ต้มยากินหลายหม้ออาการป่วยจึงได้หายเป็นปกติ  จนถึงบัดนี้   ( ขณะที่มาเยี่ยมข้าพเจ้า )จ่าวีระได้ขอพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ  จากข้าพเจ้าหนึ่งองค์  ข้าพเจ้าถามว่ายังไม่มีหรือ  เขาตอบว่าแต่ก่อนมีหนึ่งองค์เขาตำกินเสียแล้ว   ข้าพเจ้าจึงให้เขาไปบูชา ๑ องค์   นายสุนทร  หะวิเกตุ  ได้บอกต้นยาขนานนี้ของท่านหลวงพ่อทวด ฯ  ให้แก่ข้าพเจ้า  แต่ไม่ให้คาถาปลุกเสก คือ  ๑.ต้นเข็ตมอญเหยียทั้ง ๕ ,  ๒.รากไม้เท้ายายหม่อม     ๓.รากเค็ตเคล้า     ๔.รากเชียดเขา    ๕.รากปรางหวาน   ๖.รากพุดซ้อน   ๗.รากพุดชนิดไม่ซ้อน  ๘.รากชมพูยาหมู  ( รากต้นฝรั่ง )  ๙.รากสาวหยุด
                หากผู้ใดจะทดลองยานี้ต้มแก้หืดหอบ  ก็ให้ระลึกถึงหลวงพ่อทวด ฯ เจ้าของยา  โดยมีธูปเทียนอาราธนาให้ท่านปลุกเสกและขอความประสิทธิ์จากท่าน  เวลาจะดื่มยาทุกครั้งข้าพเจ้าคิดว่าคงจะได้ผล

                                                                                นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่ ๙
                เหตุเกิดที่บ้านหนองกรก  อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี  ในคืนวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๔๙๗  เวลาประมาณ ๒๑.๐๐น. นายแดงกับภรรยากลับจากทำงาน  มากินข้าวแล้วเตรียมเข้าห้องนอน  พอใกล้จะหลับได้ยินเสียงกริ่งๆอยู่ในขวดโหลบนหิ้งพระ  ซึ่งมีพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ขอมาจากวัดช้างให้ใหม่ ๆ  และได้เก็บไว้บนขวดโหลใบนั้นเขาคิดว่าหนูคงได้กลิ่นน้ำมัน  จึงลงไปคาบพระ  แล้วกระทบกับขวดจึงเกิดเสียงดังขึ้น  นายแดงจึงลุกขึ้นจุดตะเกียงส่องดูก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติจึงล้มตัวลงนอนต่อไปจนถึงเวลา ๒๒.๐๐ น.  เขากับภรรยาก็ตกใจตื่นขึ้นทันทีเพราะเสียงปืนดังขึ้นที่ชานเรือนสามนัดนายแดงนึกได้ทันทีว่าตนถูกผู้ร้ายปล้นบ้าน  จึงตื่นขึ้นจับมีดตัดฟากพื้นเรือนขาดเป็นช่อง   แล้วรอดหนีไปทางช่องใต้ถุนเรือนฝ่ายภรรยากำลังตกตลึงไม่ได้สติ   จึงลุกขึ้นไปจะเปิดประตูให้พวกโจร  ขณะที่พวกโจรกำลังกระแทกบานประตูอยู่พอเขายื่นมือจับกลอนประตู   ก็มีมือประหลาดมาผลักหน้าอกเขาก้นกระแทกพื้น  เขานึกถึงหลวงพ่อทวดทันที  จึงลุกขึ้นไปที่หน้าหิ้งพระพนมมืออ้อนวอน  ขอให้หลวงพ่อทวดช่วยคุ้มครองรักษา  ฝ่ายพวกโจรก็ออกกำลังพังประตูห้องอยู่โครมครามสั่นสะเทือน  เขากลัวจนไม่สามารถจะทนอยู่ได้  จึงพนมมือกล่าวขอให้หลวงพ่อทวดฯ   ช่วยคุ้มครองบ้านให้ลูกหลานด้วยเถิด  กล่าวจบแล้วลอดหนีทางช่องตามสามีไป  ปรากฏว่าพวกโจรใช้ปืนยิงติดตามมาข้างหลังแต่ไม่ถูก  พวกโจรเมื่อถามพังประตูไม่ออกจึงพากันหนีเข้าป่าไป
                                                                                             นายชาติ   สิมศิริ
                  กำนันตำบลนาประดู่   เล่าเรื่อง
                วันหนึ่งข้าพเจ้าพบกับพนักงานสอบสวนอำเภอโคกโพธิ์  เขาว่าผมได้ไปสอบสวนพร้อมกับนายอำเภอได้ตรวจดูความแข็งแรงของบานประตูห้องนอน   ของนายแดงแล้วปรากฏว่าเก่าแก่และแบบบางมากใช้แรงผลักดันคนเดียวก็พังเพราะประตูมีบานเดียว  และสอบถามคนแก่ที่อยู่นอกห้องได้ความว่าพวกโจร ๖ คนโถมพังประตูอยู่นานประมาณ ๒๕ นาที  เจ้าพนักงานสอบสวนคนนั่นบอกข้าพเจ้าว่า  มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

                                                                         นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่  ๑๐
                คืนวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๗  เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น.  นายซัว  นิลกำแหง  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่  ๓ ต.ลำพะเยา  จังหวัดยะลา  ได้เอาพระเครื่องหลวงพ่อทวดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วลงจากเรือนไปวัดลำพะเยา  เพื่อฟังพระแสดงธรรมวันนั้นเดือนขึ้น ๑๕ ค่ำ  พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่างเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น.  พระแสดงธรรมเสร็จแล้วก็กลับบ้านขณะเดินมาพบคนร้าย ๓ คนเป็นที่รู้จักดีและจำได้ดีเพราะแสงสว่างของดวงเดือนผู้ร้ายคนหนึ่งวิ่งมาใกล้เขา   แล้วใช้ปืนสั้นยิงเขาในระยะใกล้ชิดรวม ๔ นัด ๓นัดแรกไม่ถูกกระสุนนัดสุดท้ายถูกข้างตะโพกของนายซัวล้มลง  ผู้ร้ายเข้าใจว่าเขาถูกกระสุนปืนตายเสียแล้ว  จึงได้พากันหนีไปนายซัวจึงลุกขึ้นดูรอยที่ถูกกระสุน  ปรากฏว่ากางเกงทะลุตามแรงกระสุนปืน   แต่ที่ตะโพกไม่มีบาดแผล  เขาจึงรอดชีวิตมาได้ก็เพราะอำนาจหลวงพ่อทวด ฯ คุ้มครอง   เขายังพูดให้ผู้ไปสอบถามฟังว่าถ้าหลวงพ่อทวด ฯ คุ้มครอง  เขายังพูดให้ผู้ไปสอบถามฟังว่าถ้าหลวงพ่อทวดไม่คุ้มครองผมคงตายแน่เพราะมันยิงผมในระยะเผาขน
                นายชาติ  สิมศิริ  นายกวี  จิตต์กุล  นายวิศิษฐ์  คณานุรักษ์  ได้ไปถามปากคำนายซัวด้วยตนเองทั้งสามคน
คัดลอกจากหนังสือเรื่องประวัติหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและคุณอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ  วัดช้างให้ ตำบลป่าไร่  อำเภอโคกโพธิ์  จังหวัดปัตตานี   พิมพ์ครั้งที่๖  จำนวน 20,000เล่ม  พ.ศ.2535