วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

ภิกขุปาฏิโมกข์จบ

บทสวด อธิกรณสมถะ ๗ 

อิเม โข ปะนายัส๎มันโต สัตตาธิกะระณะสะมะถา ธัมมา อุทเทสัง อาคัจฉันติ.
อุปปันนุปปันนานัง อะธิกะระณานัง สะมะถายะ วูปะ สะมายะ สัมมุขาวินะโย ทาตัพโพ , สะติวินะโย ทาตัพโพ , อะมูฬ๎หะวินะโย 
ทาตัพโพ , ปะฏิญญาตะกะระณัง , เยภุยยะสิกา , ตัสสะ ปาปิยะสิกา , ติณะวัตถาระโกติ.
อุททิฏฐา โข อายัส๎มันโต สัตตาธิกะระณะสะมะถา ธัมมา. 
ตัตถายัส๎มันเต ปุจฉามิ. กัจจิตถะ ปะริสุทธา ?
 
ทุติยัมปิ ปุจฉามิ. กัจจิตถะ ปะริสุทธา ?
 
ตะติยัมปิ ปุจฉามิ. กัจจิตถะ ปะริสุทธา ?
 
ปะริสุทเธตถายัส๎มันโต ตัส๎มา ตุณ๎หี , เอวะเมตัง ธาระยามิ.
สัตตาธิกะระณะสะมะถา นิฏฐิตา.
อุททิฏฐัง โข อายัส๎มันโต นิทานัง , 
อุททิฏฐา จัตตาโร ปาราชิกา ธัมมา ,
 
อุททิฏฐา เตระสะ สังฆาทิเสสา ธัมมา ,
 
อุททิฏฐา เท๎ว อะนิยะตา ธัมมา.
 
อุททิฏฐา ติงสะ นิสสัคคิยา ปาจิตติยา ธัมมา ,
 
อุททิฏฐา เท๎วนะวุติ ปาจิตติยา ธัมมา ,
 
อุททิฏฐา จัตตาโร ปาฏิเทสะนียา ธัมมา ,
 
อุททิฏฐา (ปัญจะสัตตะติ) เสขิยา ธัมมา ,
 
อุททิฏฐา สัตตาธิกะระณะสะมะถา ธัมมา ,
เอตตะกันตัสสะ ภะคะวะโต สุตตาคะตัง สุตตะปะริยาปันนังอัน๎วัฑฒะมาสัง อุทเทสัง อาคัจฉะติ. 
ตัตถะ สัพเพเหวะ สะมัคเคหิ สัมโมทะมาเนหิ อะวิวะ ทะมาเนหิ สิกขิตัพพันติ.
ภิกขุปาฏิโมกขัง นิฏฐิตัง.
คำแปลบทสวดอธิกรณสมถะ ๗ 
ท่านทั้งหลาย ธรรมชื่ออธิกรณสมถะ ๗ เหล่านี้แล ย่อมมาสู่ อุทเทส.

เพื่อความสงบ เพื่อความระงับ ซึ่งอธิกรณ์ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแล้ว ที่เกิดขึ้นแล้ว พึงให้ระเบียบอันจะพึงทำให้ถึงพร้อมหน้า พึงให้ระเบียบยกเอาสติขึ้นเป็นหลัก พึงให้ระเบียบที่ให้แก่ภิกษุผู้หายเป็นบ้าแล้ว ( พึงให้ ) ทำตามรับ ( พึงให้ ) ตัดสินเอาตามคำของคนมากเป็นประมาณ ( พึงให้ ) กิริยาที่ลงโทษแก่ผู้ผิด ( พึงให้ ) ระเบียบดังกลบไว้ด้วยหญ้า.

ท่านทั้งหลาย ธรรมชื่ออธิกรณสมถะ ๗ อันข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้วแล ข้าพเจ้าถามท่านทั้งหลายในเรื่องนั้น ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ข้าพเจ้าถามแม้ครั้งที่ ๒ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ข้าพเจ้าถามแม้ครั้งที่ ๓ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ท่าน ทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วในเรื่องนั้นเพราะฉะนั้น จึงนิ่ง.ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
อธิกรณสมถะ ๗ จบ.


ท่านทั้งหลาย คำนิทาน ข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้วแล ธรรมทั้งหลายชื่อปาราชิก ๔ ข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้ว ธรรมทั้งหลายชื่อ สังฆาทิเสส ๑๓ ข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้ว

ธรรมทั้งหลายชื่ออนิยต ๒ ข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้ว ธรรมทั้งหลาย ชื่อนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้ว ธรรมทั้งหลายชื่อปาจิตตีย์ ๙๒ ข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้ว ธรรมทั้งหลายชื่อปาฏิเทสนียะ ๔ ข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้ว ธรรมทั้งหลายชื่อเสขิยะ ข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้ว ธรรม ทั้งหลายชื่ออธิกรณสมถะ ๗ ข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้ว

คำเท่านี้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น นับเนื่องในสูตรแล้ว มาในสูตรแล้ว ย่อมมาสู่อุทเทสทุกๆ กึ่งเดือน. อันภิกษุทั้งหลายทั้งปวง นั่นแล พึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน เป็นผู้ชื่นชมด้วยดีอยู่ เป็นผู้ไม่วิวาทอยู่ ศึกษาในพระปาฏิโมกข์นั้นดังนี้.



ภิกขุปาฏิโมกข์ จบ

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

พระภิกขุปาฏิโมกข์(ต่อ)


พระภิกขุปาฏิโมกข์ต่อ
บทสวด ปาฎเทสนีย์ ๔

อิเม โข ปะนายัส๎มันโต จัตตาโร ปาฏิเทสะนียา ธัมมา อุทเทสัง อาคัจฉันติ.
๑. โย ปะนะ ภิกขุ อัญญาติกายะ ภิกขุนิยา อันตะระฆะรัง ปะวิฏฐายะ หัตถะโต ขาทะนียัง วา โภชะนียัง วา สะหัตถา ปะฏิคคะเหต๎วา
ขาเทยยะ วา ภุญเชยยะ วา , ปะฏิเทเสตัพพัง เตนะ ภิกขุนา "คารัย๎หัง อาวุโส ธัมมัง อาปัชชิง อะสัปปายัง ปาฏิเทสะนียัง , ตัง
ปะฏิเทเสมีติ.
๒. ภิกขู ปะเนวะ กุเลสุ นิมันติตา ภุญชันติ , ตัต๎ระ เจ ภิกขุนี โวสาสะมานะรูปา ฐิตา โหติ "อิธะ สูปัง เทถะ , อิธะ โอทะนัง
เทถาติ , เตหิ ภิกขูหิ สา ภิกขุนี อะปะสาเทตัพพา " อะปะสักกะ ตาวะ ภะคินิ,ยาวะภิกขู ภุญชันตีติ , เอกัสสะปิ เจ ภิกขุโน
นัปปะฏิภาเสยยะ ตัง ภิกขุนิง อะปะสาเทตุง "อะปะสักกะ ตาวะ ภะคินิ ,ยาวะ ภิกขู ภุญชันตีติ , ปะฏิเทเสตัพพัง เตหิ ภิกขูหิ
"คารัย๎หัง อาวุโส ธัมมัง อาปัชชิมหา อะสัปปายัง ปาฏิ เทสะนียัง , ตัง ปะฏิเทเสมาติ.
๓. ยานิ โข ปะนะ ตานิ เสกขะสัมมะตานิ กุลานิ , โย ปะนะ ภิกขุ ตะถารูเปสุ เสกขะสัมมะเตสุ กุเลสุ ปุพเพ อะนิ มันติโต อะคิลาโน
ขาทะนียัง วา โภชะนียัง วา สะหัตถา ปะฏิค คะเหต๎วา ขาเทยยะ วา ภุญเชยยะ วา , ปะฏิเทเสตัพพัง เตนะ ภิกขุนา "คารัย๎หัง อาวุโส
ธัมมัง อาปัชชิง อะสัปปายัง ปาฏิ เทสะนียัง , ตัง ปะฏิเทเสมีติ.
๔. ยานิ โข ปะนะ ตานิ อารัญญะกานิ เสนาสะนานิ สาสังกะสัมมะตานิ สัปปะฏิภะยานิ , โย ปะนะ ภิกขุ ตะถารูเปสุ
เสนาสะเนสุ วิหะรันโต ปุพเพ อัปปะฏิสังวิทิตัง ขาทะนียัง วา โภชะนียัง วา อัชฌาราเม สะหัตถา ปะฏิคคะเหต๎วา อะคิลาโน
ขาเทยยะ วา ภุญเชยยะ วา , ปะฏิเทเสตัพพัง เตนะ ภิกขุนา " คารัย๎หัง อาวุโส ธัมมัง อาปัชชิง อะสัปปายัง ปาฏิ เทสะนียัง , ตัง
ปะฏิเทเสมีติ.
อุททิฏฐา โข อายัส๎มันโต จัตตาโร ปาฏิเทสะนียา ธัมมา.
ตัตถายัส๎มันเต ปุจฉามิ. กัจจิตถะ ปะริสุทธา ?
ทุติยัมปิ ปุจฉามิ. กัจจิตถะ ปะริสุทธา ?
ตะติยัมปิ ปุจฉามิ. กัจจิตถะ ปะริสุทธา ?
ปะริสุทเธตถายัส๎มันโต ตัส๎มา ตุณ๎หี , เอวะเมตัง ธาระยามิ.
                                                                                             
                                                                                                ปาฏิเทสะนียา นิฏฐิตา.
คำแปลปาฏิเสทนียะ

(ปาฏิเสทนียะ ๔)

ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมชื่อปาฏิเทสนียะ ๔ เหล่านี้แล ย่อมมาสู่อุทเทส.
๑. อนึ่ง ภิกษุใด รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตน จากมือของนางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ผู้เข้าไปแล้ว สู่ละแวกบ้านแล้วเคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี อันภิกษุนั้น พึงแสดงคืนว่า แน่ะเธอ ฉันต้องธรรมที่น่าติ ไม่เป็นสบายควรจะแสดงคืน ฉันแสดงคืนธรรมนั้น".
๒. อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายรับนิมนต์ฉันอยู่ในสกุล ถ้าภิกษุณีมา ยืนสั่งเสียอยู่ในที่นั้นว่า "จงถวายแกงในองค์นี้ จงถวายข้าวในองค์นี้" ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น พึงรุกรานภิกษุณีนั้นว่า "น้องหญิง เธอจงหลีกไปเสีย ตลอดเวลาที่ภิกษุฉันอยู่" ถ้าภิกษุแม้รูปหนึ่ง ไม่กล่าวออกไป เพื่อจะรุกรานภิกษุณีนั้นว่า "น้องหญิง เธอจงหลีกไปเสีย ตลอดเวลาที่ภิกษุฉันอยู่" อันภิกษุเหล่านั้นพึงแสดงคืนว่า "แน่ะเธอ พวกฉันต้องธรรมที่น่าติ ไม่เป็นสบาย ควรจะแสดงคืนพวกฉันแสดงคืนธรรมนั้น".
๓. อนึ่ง ภิกษุใด ไม่ได้รับนิมนต์ก่อนมิใช่ผู้อาพาธ รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดีในสกุลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสขะ ด้วยมือของตนแล้ว เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดีอันภิกษุนั้นพึงแสดงคืนว่า "แน่ะเธอ ฉันต้องธรรมที่น่าติ ไม่เป็นสบายควรจะแสดงคืนฉันแสดงคืนธรรมนั้น."
๔. อนึ่ง ภิกษุใด อยู่ในเสนาสนะป่า ที่รู้กันว่าเป็นที่มีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อน ด้วยมือของตน ในวัดที่อยู่ไม่ใช่ผู้อาพาธ เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดีอันภิกษุนั้นพึงแสดงคืนว่า "แน่ะเธอ ฉันต้องธรรมที่น่าติ ไม่เป็นสบาย ควรจะแสดงคืน ฉันแสดงคืนธรรมนั้น."
ท่านทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายชื่อปาฏิเทสนียะ ๔ ข้าพเจ้าได้แสดงขึ้นแล้วแล
ข้าพเจ้าถามท่านทั้งหลายในข้อเหล่านั้น ท่านทั้งหลายเป็นผู้ บริสุทธ์แล้วหรือ?ข้าพเจ้าถามแม้ครั้งที่ ๒ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ?ข้าพเจ้าถามแม้ครั้งที่ ๓ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ?ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วในข้อเหล่านี้ เพราะฉะนั้น จึงนิ่งข้าพเจ้าทรงความไว้ด้วยอย่างนี้.

ปาฏิเทสะนียะ จบ.

บทสวด เสขิยวัตร ๗๕
อิเม โข ปะนายัส๎มันโต (ปัญจะสัตตะติ) เสขิยา ธัมมา อุทเทสัง อาคัจฉันติ.
๑. "ปะริมัณฑะลัง นิวาเสสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒. "ปะริมัณฑะลัง ปารุปิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓. "สุปะฏิจฉันโน อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔. "สุปะฏิจฉันโน อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕. "สุสังวุโต อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๖. "สุสังวุโต อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๗. "โอกขิตตะจักขุ อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๘. "โอกขิตตะจักขุ อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๙. "นะ อุกขิตตะกายะ อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๐. "นะ อุกขิตตะกายะ อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๑. "นะ อุชชัคฆิกายะ อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๒. "นะ อุชชัคฆิกายะ อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๓. "อัปปะสัทโท อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๔. "อัปปะสัทโท อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๕. "นะ กายัปปะจาละกัง อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๖. "นะ กายัปปะจาละกัง อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๗. "นะ พาหุปปะจาละกัง อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๘. "นะ พาหุปปะจาละกัง อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๑๙. "นะ สีสัปปะจาละกัง อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒๐. "นะ สีสัปปะจาละกัง อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒๑. นะ ขัมภะกะโต อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒๒. "นะ ขัมภะกะโต อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒๓. "นะ โอคุณฐิโต อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒๔. "นะ โอคุณฐิโต อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒๕. "นะ อุกกุฏิกายะ อันตะระฆะเร คะมิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒๖. "นะ ปัลลัตถิกายะ อันตะระฆะเร นิสีทิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
ฉัพพีสะติ สารุปปา.
๒๗. "สักกัจจัง ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒๘. "ปัตตะสัญญี ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๒๙. "สะมะสูปะกัง ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓๐. "สะมะติตติกัง ปิณฑะปาตัง ปะฏิคคะเหสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓๑. "สักกัจจัง ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓๒. "ปัตตะสัญญี ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓๓. "สะปะทานัง ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓๔. "สะมะสูปะกัง ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓๕. "นะ ถูปะโต โอมัททิต๎วา ปิณฑะปาตัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓๖. "นะ สูปัง วา พ๎ยัญชะนัง วา โอทะเนนะ ปะฏิจฉา เทสสามิ ภิยโย กัม๎ยะตัง อุปาทายาติ สิกขา กะระณียา.
๓๗. "นะ สูปัง วา โอทะนัง วา อะคิลาโน อัตตะโน อัตถายะ วิญญาเปต๎วา ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓๘. "นะ อุชฌานะสัญญี ปะเรสัง ปัตตัง โอโลเกสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๓๙. "นาติมะหันตัง กะวะฬัง กะริสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔๐. "ปะริมัณฑะลัง อาโลปัง กะริสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔๑. "นะ อะนาหะเฏ กะวะเฬ มุขะท๎วารัง วิวะริสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔๒. "นะ ภุญชะมาโน สัพพัง หัตถัง มุเข ปักขิปิสสามีติสิกขา กะระณียา.
๔๓. "นะ สะกะวะเฬนะ มุเขนะ พ๎ยาหะริสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔๔. "นะ ปิณฑุกเขปะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔๕. "นะ กะวะฬาวัจเฉทะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔๖. "นะ อะวะคัณฑะการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔๗. "นะ หัตถะนิทธูนะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔๘. "นะ สิตถาวะการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๔๙. "นะ ชิวหานิจฉาระกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕๐. "นะ จะปุจะปุการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕๑. "นะ สุรุสุรุการะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕๒. "นะ หัตถะนิลเลหะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕๓. "นะ ปัตตะนิลเลหะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕๔. "นะ โอฏฐะนิลเลหะกัง ภุญชิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕๕. "นะ สามิเสนะ หัตเถนะ ปานียะถาละกัง ปะฏิคคะ เหสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕๖. "นะ สะสิตถะกัง ปัตตะโธวะนัง อันตะระฆะเร ฉัฑเฑสสามีติ สิกขา กะระณียา.
สะมะติงสะ โภชะนะปะฏิสังยุตตา.
๕๗. "นะ ฉัตตะปาณิสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕๘. "นะ ทัณฑะปาณิสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๕๙. "นะ สัตถะปาณิสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติสิกขา กะระณียา.
๖๐. "นะ อาวุธะปาณิสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติสิกขา กะระณียา.
๖๑. "นะ ปาทุการูฬ๎หัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติสิกขา กะระณียา.
๖๒. "นะ อุปาหะนารูฬ๎หัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๖๓. "นะ ยานะคะตัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๖๔. "นะ สะยะนะคะตัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติสิกขา กะระณียา.
๖๕. "นะ ปัลลัตถิกายะ นิสินนัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๖๖. "นะ เวฏฐิตะสีสัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติสิกขา กะระณียา.
๖๗. "นะ โอคุณฐิตะสีสัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๖๘. "นะ ฉะมายัง นิสีทิต๎วา อาสะเน นิสินนัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๖๙. "นะ นีเจ อาสะเน นิสีทิต๎วา อุจเจ อาสะเน นิสินนัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๗๐. "นะ ฐิโต นิสินนัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติสิกขา กะระณียา.
๗๑. "นะ ปัจฉะโต คัจฉันโต ปุระโต คัจฉันตัสสะ อะคิลา นัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๗๒. "นะ อุปปะเถนะ คัจฉันโต ปะเถนะ คัจฉันตัสสะ อะคิลานัสสะ ธัมมัง เทสิสสามีติ สิกขา กะระณียา.
โสฬะสะ ธัมมะเทสะนาปะฏิสังยุตตา.
๗๓. "นะ ฐิโต อะคิลาโน อุจจารัง วา ปัสสาวัง วา กะริสสามีติสิกขา กะระณียา.
๗๔. "นะ หะริเต อะคิลาโน อุจจารัง วา ปัสสาวัง วา เขฬัง วา กะริสสามีติ สิกขา กะระณียา.
๗๕. "นะ อุทะเก อะคิลาโน อุจจารัง วา ปัสสาวัง วา เขฬัง วา กะริสสามีติ สิกขา กะระณียา.

ตะโย ปะกิณณะกา.

อุททิฏฐา โข อายัส๎มันโต (ปัญจะสัตตะติ) เสขิยา ธัมมา.
ตัตถายัส๎มันเต ปุจฉามิ. กัจจิตถะ ปะริสุทธา ?
ทุติยัมปิ ปุจฉามิ. กัจจิตถะ ปะริสุทธา ?
ตะติยัมปิ ปุจฉามิ. กัจจิตถะ ปะริสุทธา ?
ปะริสุทเธตถายัส๎มันโต ตัส๎มา ตุณ๎หี , เอวะเมตัง ธาระยามิ.
เสขิยา นิฏฐิตา.
คำแปลเสขิยะ
(เสขิยะ ๗๕)

ท่านทั้งหลาย ธรรมชื่อเสขิยะเหล่านี้แล ย่อมมาสู่อุทเทส.
๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักนุ่งเป็นปริมณฑล."
๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักห่มเป็นปริมณฑล".
๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักปกปิดกายดีไปในละแวกบ้าน".
๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักปกปิดกายดีนั่งในละแวกบ้าน
๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักสำรวมดีไปในละแวกบ้าน".
๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักสำรวมดี นั่งในละแวกบ้าน."
๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักมีตาทอดลงไปในละแวกบ้าน."
๘. พึงทำศึกษาว่า "เราจักมีตาทอดลงนั่งในละแวกบ้าน."
๙. พึงทำศึกษาว่า"เราจักไม่ไปในละแวกบ้านด้วยทั้งเวิกผ้า."
๑๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่นั่งในละแวกบ้าน ด้วยทั้งเวิกผ้า."
ปะริมัณฑะละวรรค ที่หนึ่งจบ
๑๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ไปในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความ หัวเราะลั่น."
๑๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่นั่งในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความหัวเราะลั่น."
๑๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักมีเสียงน้อยไปในละแวกบ้าน."
๑๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักมีเสียงน้อยนั่งในละแวกบ้าน."
๑๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่โยกกายไปในละแวกบ้าน."
๑๖.พึงทำศึกษาว่า"เราจักไม่โยกกายนั่งในละแวกบ้าน."
๑๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ไกวแขนไปในละแวกบ้าน."
๑๘.พึงทำศึกษาว่า"เราจักไม่ไกวแขนนั่งในละแวกบ้าน"
๑๙. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่โคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน."
๒๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่โคลงศีรษะนั่งในละแวกบ้าน."
นะ อุชชัคคิกะวรรค ที่สองจบ
๒๑. พึงทำศึกษาว่า"เราจักไม่ทำความค้ำไปในละแวกบ้าน."
๒๒. พึงทำศึกษาว่า"เราจักไม่ทำความค้ำนั่งในละแวกบ้าน."
๒๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่คลุม (ศีรษะ) ไปในละแวกบ้าน."
๒๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่คลุม (ศีรษะ) นั่งในละแวกบ้าน."
๒๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ไปในในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความกระโหย่ง ."
๒๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่นั่งในในละแวกบ้าน ด้วยทั้งความรัดเข่า ."
๒๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักรับบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ"
๒๘. พึงทำศึกษา"เราจักจ้องดูอยู่ในบาตรรับิณฑบาต"
๒๙. พึงทำศึกษาว่า"เราจักรับบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน
๓๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักรับบิณฑบาตเสมอขอบ"
นะ ขัมภะกะตะวรรค ที่สามจบ
๓๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักฉันบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ."
๓๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักจ้องดูอยู่ในบาตรฉันบิณฑบาต."
๓๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักฉันบิณฑบาตไม่แหว่ง."
๓๔.พึงทำศึกษาว่า"เราจักฉันบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน"
๓๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ขยุมลงแต่ยอดฉันบิณฑบาต."
๓๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่กลบแกงก็ดี กับข้าวก็ดี ด้วยข้าวสุก อาศัยความอยากได้มาก."
๓๗. พึงทำศึกษาว่า "เราไม่อาพาธ จักไม่ขอสูปะก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตนฉัน."
๓๘. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่เพ่งโพนทะนาแลดูบาตรของผู้อื่น."
๓๙. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก."
๔๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม."
สักกัจจะวรรค ที่สี่จบ
๔๑. พึงทำศึกษาว่า "เมื่อคำข้าวยังไม่นำมาถึง เราจักไม่อ้าช่องปาก."
๔๒. พึงทำศึกษาว่า "เราฉันอยู่ จักไม่สอดมือทั้งนั้นเข้าในปาก
๔๓. พึงทำศึกษาว่า "ปากยังมีคำข้าวเราจักไม่พูด."
๔๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันเดาะ คำข้าว
๔๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว."
๔๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันทำให้ตุ่ย
๔๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันสลัดมือ."
๔๘. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันทำเมล็ดข้าวตก."
๔๙. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันแลบลิ้น
๕๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันทำเสียงจับๆ
นะ อะนาหะฏะวรรค ที่ห้าจบ
๕๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันทำเสียงซูดๆ
๕๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันเลียมือ."
๕๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันขอดบาตร."
๕๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก."
๕๕. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่รับโอน้ำด้วยมือเปื้อนอามิส."
๕๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวในละแวกบ้าน."
๕๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ มีร่มในมือ."
๕๘. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้มีไม้พลองในมือ."
๕๙. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้มีศัสตราในมือ."
๖๐. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บ ไข้มีอาวุธในมือ."
นะ สุรุสุรุการะกะวรรค ที่หกจบ
๖๑. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้สวมเขียงเท้า."
๖๒. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้สวมรองเท้า."
๖๓. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ไปในยาน."
๖๔. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้อยู่บนที่นอน."
๖๕ . พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้นั่งรัดเข่า."
๖๖. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้พันศีรษะ."
๖๗. พึงทำศึกษาว่า "เราจักไม่แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้คลุมศีรษะ."
๖๘. พึงทำศึกษาว่า "เรานั่งอยู่ที่แผ่นดินจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้นั่งบนอาสนะ."
๖๙. พึงทำศึกษาว่า "เรานั่งบนอาสนะต่ำจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้นั่งบนอาสนะสูง."
๗๐. พึงทำศึกษาว่า "เรายืนอยู่ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้นั่งอยู่."
นะ ปาทุกะวรรค ที่เจ็ดจบ
๗๑. พึงทำศึกษาว่า "เราเดินไปข้างหลังจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้เดินไปข้างหน้า."
๗๒. พึงทำศึกษาว่า "เราเดินไปนอกทางจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เจ็บไข้ ผู้ไปอยู่ในทาง."
๗๓. พึงทำศึกษาว่า "เราไม่อาพาธ จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ."
๗๔. พึงทำศึกษาว่า "เราไม่อาพาธ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะบนของสดเขียว."
๗๕. พึงทำศึกษาว่า "เราไม่อาพาธ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะในน้ำ
นะ ปัจฉะโตวรรค ที่แปดจบ
ท่านทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายชื่อเสขิยข้าพเจ้าแสดงขึ้นแล้ว. ข้าพเจ้าถามท่านทั้งหลายในเรื่องนั้น ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ข้าพเจ้าถามแม้ครั้งที่ ๒ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ข้าพเจ้าถามแม้ครั้งที่ ๓ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วหรือ? ท่าน ทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธ์แล้วในเรื่องนั้นเพราะฉะนั้น จึงนิ่ง. ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.


เสขิยะจบ.