ปฐมสมโพธิกถา
คัดลอกจาก สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงแปลจากภาษาบาลี ผู้แต่ง
ไม่ทราบว่าผู้ใดแต่ง จากผู้คัดลอกขอแก้บางส่วนให้อ่านง่ายตามยุคสมัย
บทที่หนึ่ง
งานมงคลแต่งงานที่ผ่านไป
พระเจ้าสุทโธทนะอภิเษกสมรสกับพระนางสิริมหามายา
ปฐมกษัตริย์ “มหาสมมติวงศ์”
ดังที่เราได้รู้ว่า
ในต้นกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระโคดมในศาสนาของเรา
เกิดเป็นพระราชาองค์แรกของตระกูลพระราชาที่เป็นสมมติเทพ เป็นพระมหาจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้ พระโอรสทรงพระนามว่า โรชราช
พระเจ้าโรชราชทรงมีพระโอรสพระนามว่า
วรโรชราช
พระเจ้าวรโรชราชทรงมีพระโอรสนามว่า
กัลยานราช
พระเจ้ากัลยานราชทรงมีพระโอรสพระนามว่า
สกมันธาตุราช(ภาษาบาลีเป็น วรมนุธาตุ)
พระเจ้าสกมันธาตุราชทรงมีพระโอรสนามว่า
อุโบสถ
พระเจ้าอุโบสถราชทางมีพระโอรสพระนามว่า
วรราช พระเจ้าวรราชทรงมีพระโอรสพระนามว่า อุปวรราช
พระเจ้าอุปวรราชทรงมีพระโอรสพระนามว่า
มฆเทวราช
ได้เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์เป็นลำดับด้วยกัน ๑๑ พระองค์ด้วยกัน
เกิดโอกกากราชวงศ์
ตั้งแต่นั้นมาพระราชวงศานุวงศ์ได้ครองราชย์สมบัติได้ครองราชย์สมบัติติดต่อกันมา
๘๔,๐๐๐ พระองค์
จนมาถึงโอกกากวงศ์ทั้งสาม และพระเจ้าปฐมโอกกากราชย์ได้เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์มาหลายชั่วกษัตริย์ จนมาถึงพระเจ้าทุติยโอกกากราช พระเจ้าทุติยโอกกากราชเป็นบรมกษัตริย์
สืบพระวงศ์ต่อๆ กันมา จนมาถึงพระเจ้าตติยโอกกากราช พระเจ้าตติยโอกกากราชมีพระมเหสี ๕ พระองค์ คือ
พระนางหัฏฐา ๑ พระนางจิตตา ๑ พระนางชันตุ ๑ พระนางชาลินี ๑ พระนางวิสาขา ๑
พระมเหสีองค์หนึ่งๆ มีนางสนมเป็นบริวาร ๕๐๐ๆ
ก็แลพระนางหัฏฐาซึ่งเป็นพระเชษฐอัครมเหสีใหญ่นั้นมีพระราชบุตร ๔ พระองค์ คือ
โอกกากมุขราชกุมาร ๑ กรัณฑราชกุมาร ๑ หัตถินิเกสิราชกุมาร ๑ นิปุรราชกุมาร ๑
แลมีพระราชบุตรีอีก ๕ พระองค์ คือ นางปิยาราชกุมารี ๑ นางสุปิยาราชกุมารี ๑
นางอานันทาราชกุมารี ๑ นางวิชิตาราชกุมารี ๑ นางวิชิตาเสนาราชกุมารี ๑
รวมพระบุตรแลพระบุตรีเป็น ๙ พระองค์ด้วยกัน
พระเจ้าโอกกากราชที่
๓ ยกราชสมบัติให้พระโอรสองค์เล็ก
ครั้นสืบมา
ณ กาลภายหน้า พระมเหสีผู้ใหญ่นั้นสิ้นพระชนม์ลง
สมเด็จบรมกษัตริย์จึงไปนำมาซึ่งนางราชธิดาองค์อื่นอันทรงอุดมรูป ตั้งไว้ ณ
ที่เป็นอัครมเหสีผู้ใหญ่ แลนางนั้นมีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงนามชันตุราชกุมาร
ครั้นพระราชกุมารนั้นพระชนม์ได้ ๕ เดือน
พระมารดาจึงประดับด้วยเครื่องราชกุมารปิลันธนาภรณ์นำขึ้นเฝ้าพระราชบิดา
พระราชบิดาได้ทอดพระเนตรพระราชโอรสอันทรงสรีรรูปอันงาม ก็ทรงพระสิเนหปราโมทย์
จึงดำรัสพระราชทานพรแก่พระนางผู้เป็นมารดาว่า
เจ้าจะปรารถนาพรอันใดก็จะให้สำเร็จมโนรถ
แลนางนั้นได้โอกาสจึงคบคิดกับหมู่ญาติทั้งปวงทูลขอราชสมบัติให้แก่บุตรของตน
สมเด็จบรมกษัตริย์ตรัสคุกคามว่า หญิงร้าย
ไฉนเจ้ามากล่าวความพินาศฉิบหายปรารถนาจะกระทำอันตรายแก่โอรสผู้ใหญ่ของเราดังนี้
แลนางนั้นก็คอยท่วงที เมื่อเสด็จเข้าสู่ที่สิริครรภไสยาสน์
กระทำประโลมด้วยอิตถีมายายังพระภัสดาให้ยินดีด้วยวิธีกามเสวนกิจ
แล้วพิดทูลวิงวอนว่า พระองค์เป็นบรมกษัตริย์
ได้ออกพระโอษฐ์พระราชทานพรอนุญาตแก่ข้าพระบาทแล้ว
ซึ่งจะมิได้โปรดพระราชทานให้สมซึ่งประสงค์แห่งข้าพระองค์นั้นมิสมควร
พระโอรสพระธิดา
๙ พระองค์ต้องออกจากเมือง
สมเด็จพระเจ้าโอกกากราชทรงคิดละอายพระทัยด้วยได้ลั่นพระโอษฐ์ออกแล้วเกรงจะเสียสัตย์
จึงดำรัสให้หาพระราชโอรสทั้ง ๔ มาเฝ้า แล้วตรัสเล่าความตามนัยหนหลัง
แล้วตรัสสั่งว่าเจ้าจะปรารถนาช้างม้าแลรถรี้พลสักเท่าใด ก็จงนำไปเท่านั้น
เหลือไว้แต่คชาชาติราชอัสสดุรงครถซึ่งสำหรับพระนคร
จงพาจตุรงคนิกรทั้งปวงไปจากราชพารา ช่วยรักษาสัตย์ของบิดาไว้ ต่อเมื่อบิดาสวรรคาลัยแล้ว
จึงกลับมาคืนเอาราชสมบัติ แล้วตรัสสั่งอมาตย์ ๘ นาย
ให้ไปกับพระราชโอรสช่วยทำนุบำรุงรักษาอย่าให้มีภัยอันตรายได้
พระราชกุมารทั้ง
๔ รับพระราชปริหารแล้ว กราบถวายบังคมลา
ต่างองค์ทรงพระโสกาดูรพิลาปด้วยปิยวิปโยคทุกข์ซึ่งจะจำจากกัน แล้วทูลขอขมาโทษพระราชบิดา
แลอำลาพระราชวงศานุวงศ์กับทั้งหมู่อนงค์นางสนมทั้งปวง
แล้วพาพระเชษฐภคินีแลพระกนิษฐภคินีทั้ง ๕ พระองค์ออกจากพระนคร
กับด้วยจตุรงคนิกรและอมาตย์ทั้ง ๘ เป็นบริวาร
ส่วนประชาชนหญิงชายทั้งหลายได้แจ้งเหตุว่า
พระราชกุมารจะเสด็จคืนมาครอบครองราชสมบัติในกาลเมื่อพระบรมกษัตริย์ราชบิดาทิวงคตแล้ว
ก็ชวนกันดำริว่า เราจะติดตามไปอุปัฏฐากพระราชกุมาร
ก็พากันตามเสด็จไปจากพระนครเป็นอันมาก แล้วเดินทางไปล่วง ๓ วันแล้ว สิ้นหนทางถึง ๓
โยชน์ ก็ยังไม่สิ้นรี้พลประชาชนอันตามเสด็จ
จึงพระราชกุมารทั้ง
๔ มี พระโอกกากมุขเชษฐาธิราชเป็นประธาน ก็ตรัสปรึกษากันว่า
พลนิกายของเรามากกว่ามาก แม้จะยกไปย่ำยีตีพระยาสามนตราชเมืองหนึ่งเมืองใด
ชิงเอาบ้านเมืองแลชนบทแว่นแคว้น ก็จะได้สมความปรารถนาแลท้าวพระยาทั้งหลายเหล่านั้น
ก็จะสู้รบเราไม่ได้ คงจะปราชัยพ่ายแพ้ แต่ทว่าจะประโยชน์อันใดด้วยจะเบียดเบียนเอาสมบัติบ้านเมืองของผู้อื่น
และแผ่นพื้นชมพูทวีปก็ใหญ่กว้างควรจะไปสร้างนครในอรัญประเทศ
ให้พ้นเขตแดนท้าวพระยาสามนตราชทั้งปวง ก็ดำเนินพลบ่ายหน้าเฉพาะป่าหิมพานต์
เที่ยวแสวงหาที่ภูมิสถานอันจะสร้างพระนครใหม่
กบิลพราหมณ์โพธิสัตว์แนะให้สร้างเมืองใหม่
ในกาลนั้น
พระบรมโพธิ์สัตว์แห่งเรา บังเกิดในสกุลพราหมณมหาศาลมีนามกบิลพราหมณ์
พิจารณาเห็นโทษในเบญจกามคุณจึงเสียสละสมบัติออกบรรพชาเป็นดาบส
ไปสร้างบรรณศาลาสถิตอยู่ในสากพนสณฑ์ แทบใกล้ฝั่งสระโบกขรณี อันมีอยู่ ณ
ชายป่าหิมวันตประเทศ แลพระผู้เป็นเจ้ารู้ในภูมิดลมงคลวิทยา
พิจารณาเห็นคุณแลโทษในโอกาสสูงขึ้นไปได้ ๘๐ ศอก ในภายใต้ปฐพีลึกลงไปได้ ๘๐
ศอกดุจกัน
และในภูมิประเทศที่แห่งนั้นมีกอหญ้าแลกอลดาวัลย์เวียนเป็นทักษิณาวรรตผันไปฝ่ายปราจีนทิศทั้งสิ้น
ฝูงสัตว์ทั้งหลายเป็นต้นว่าสีหพยัคฆ์ไล่ซึ่งมฤคสุกรมาแลวิฬาร์ไล่ซึ่งหนู งูไล่ซึ่งมณฑกชาติมาถึงที่นั่น
แล้วก็มิอาจติดตามต่อไปได้
สัตว์ที่แพ้นั้นกลับไล่คุกคามเอาสัตว์ที่มีอำนาจให้ปลาตนาการกลับไป
เป็นที่ชัยมงคลภูมิประเทศพระดาบสแจ้งเหตุฉะนี้จึงจัดแจงสร้างบรรณศาลาอาศัยอยู่ในที่นั้น
ครั้นพระผู้เป็นเจ้าเห็นพระราชกุมารทั้งหลายยาตราพลาพลนิกายมาเป็นอันมาก
จึงได้ถามทราบความว่าสืบแสวงหาที่จะสร้างพระนคร
ก็มีความกรุณาปรารถนาจะอนุเคราะห์ให้เป็นประโยชน์แก่พระราชกุมารทั้งปวง
จึงบอกเหตุว่า บพิตรจงสร้างพระนครลงในที่บริเวณบรรณศาลาของอาตมานี้เถิด
แลเมืองอันนี้นานไปภายหน้าจะเป็นอัครนครปรากฏในชมพูทวีป ผิวบุรุษบังเกิดในพระนครนี้จะมีอานุภาพมาก
คนเดียวก็อาจสามารถจะข่มขี่ผจญเสียได้ซึ่งบุรุษอื่นร้อยคนพันคนให้พ่ายแพ้อำนาจ
จงสร้างปราสาทราชคฤหสถานลงตรงที่บรรณศาลานี้
ผิวผู้ใดสถิตในที่นี้ถึงแม้นมาตรว่าเป็นบุตรคนจัณฑาลก็จะมีพลานุภาพมาก
อาจข่มขี่เสียได้ซึ่งปัจจามิตร ดุจพลานุภาพแห่งบรมจักรพรรดิเป็นแท้
พระราชกุมารจึงเผดียงถามว่า พระผู้เป็นเจ้าจะไปอยู่ ณ ที่ใด ดูก่อนบพิตร
อย่าได้ทรงพระปริวิตกเลยด้วยที่อยู่ของอาตมา แลอาตมาก็จะไปสร้างบรรณศาลาอยู่ ณ
ที่ข้างหนึ่งนอกพระนคร บพิตรจงตั้งนามกรเมืองนี้ชื่อกรุงกบิลพัสดุ์เถิด
เกิดพระนครกบิลพัสดุ์
และพระพระกุมารทั้ง
๔ มีพระโอกกากมุขผู้เป็นพี่ใหญ่เป็นประธาน
ทำการสร้างนคร
สร้างปราสาทพระราชวังตามคำแนะนำของดาบส
ก็ตั้งชื่อว่านครกบิลพัสดุ์ตามชื่อพระดาบสที่แนะนำให้สร้างนคร
แล้วก็อาศัยในนครดังที่มานี้
เกิดศักยราชตระกูลอภิเษกสมรสกันเอง
เนื่องจากเกรงว่าสมรสกับกษัตริย์ตระกูลอื่น อาจมีเชื้อสายไม่บริสุทธิ์บ้าง
ก็เกรงจะเสื่อมเสีย พระโอรสทั้ง ๔
พระองค์และพระธิดาทั้ง ๔ พระองค์จึงอภิเษกสมรสกันเอง เพื่อจะได้เชื้อสายที่บริสุทธิ์
พระโพธิสัตว์เคยอุบัติในราชวงศ์นี้เป็นพระเวสสันดร
พระโพธิสัตว์เคยเกิดในราชวงศ์นี้
เป็นพระเวสสันดรบริจาคทรัพย์เมื่อมีชีวิตจนตายเป็นจำนวนมาก จนมาถึงพระเจ้าไชยเสนราช มีพระราชบุตรชื่อว่าพระเจ้าสีหหนุได้เสวยราชพระเจ้าสีหหนุศักยะให้เหล่าอำมาตย์เสาะหาหญิงงามเพื่อพระโอรสสุทโธทนะ
พระเจ้าสีหหนุให้เหล่าอำมาตย์ทั้ง
๘ เสาะหาหญิงงามที่มีลักษณะ ๖๔
ประการ เพื่ออภิเษกเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะสมบัติสืบต่อกันมา
ความงดงามของเจ้าหญิงสิริมหามายาแห่งเทวทหะ
ในกาลนั้นพระนางสิริมหามายาเทวี
ได้บำเพ็ญเพียนมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าวิปัสสี
ทรงมีสิริโฉมอันงดงามมีลักษณะของนารีที่สมบูรณ์ ๖๔ ประการและมีเบญจกัลยานีมิมีผู้ใดหาเปรียบได้และจะให้ความสุขทั้ง ๓ ประการ กล่าวคือ มนุษยสุข ทิพยสุข นิพพานสุข
พวกพราหมณ์ทำนายว่าจะเป็นพุทธมารดา
เหล่าพราหมณ์ก็ทำนายว่า พระธิดาจะได้เป็นพุทธมารดา พระเจ้าชนาธิปก็ดีใจอย่างยิ่ง จึงให้กระทำอู่แก้ว ๗ ประการ แล้วถวายพระนามว่าสิริมหามายาราชกุมารี เพราะมีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก เมื่อมีพระชนมายุได้ ๑๖
พรรษาก็หาหญิงใดในโลกธาตุที่มีความงามเสมอเหมือนหรืองามกว่ามิได้
เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระนางสิริมหามายาทรงบำเพ็ญทานเพราะปรารถนาเป็นพระพุทธมารดาในอดีต
ความอัศจรรย์ ๑๒
ประการของพระนางสิริมหามายา
๑. เมื่อพระนางถือถาดทองที่เต็มไปด้วยภัตตาหารเลิศรส
ทรงสามารถตักอาหารนั้นให้แก่มนุษย์ทั่วทั้งชมพูทวีปให้อิ่มได้ทุกคน
อาหารนั้นก็มิได้บกพร่องไปเลย
มนุษย์ทั้งหลายที่บริโภคอาหารของพระนางก็มีอายุยืนยาวทั้งสิ้น
๒. เมื่อพระนางทรงสัมผัสกายของผู้เจ็บป่วยคนใดก็ตาม หากผู้นั้นไม่ถึงกาลหมดอายุขัย
โรคทั้งหลายก็จะหายไปในทันที
๓. เมื่อพระนางจับใบไม้ทั้งหลาย
ใบไม้นั้นก็กลับกลายเป็นทองไปทั้งสิ้น
๔. เมื่อพระนางนำพืชผลใดลงเพาะปลูกลงในดิน
ทันทีที่พระนางได้เทน้ำลงไป พืชนั้นก็จะผุดขึ้นเติบใหญ่แตกกิ่งก้าน
ผลิดอกออกผลในทันที
๕. หากพระนางเสด็จขึ้นไปบนภูเขา และเอ่ยว่าทรงกระหายน้ำ
ทันใดท่อธารน้ำร้อนและน้ำเย็นก็จะปรากฏขึ้นมาถวายแด่พระนาง
๖. เมื่อพระนางเสด็จไปในที่ใด
เหล่าภุมมเทวาและรุกขเทวาก็จะเนรมิตซึ่งทิพยอาหารถวายแด่พระนางและบริวาร
๗. เมื่อพระนางเสด็จประพาสอุทยาน
เหล่าเทวดาก็จะนำมาซึ่งน้ำทิพย์ให้สรงสนานและนำอาภรณ์ทิพย์มาตกแต่งให้พระนาง
๘. เมื่อพระนางบรรทม
ราชายักษ์ทั้ง ๘ ก็จะถือพระขรรค์มายืนเฝ้าแวดล้อมอารักขาในทิศทั้งหลาย
๙. เมื่อพระนางเสด็จไปพักเล่นในตำบลใด
เหล่าเทวดาก็จะแปลงเพศมาเล่นมหรสพถวายแด่พระนางให้เพลิดเพลิน
๑๐. เมื่อถึงยามเย็น
เทวดาที่สถิตในป่าหิมพานต์ก็จะนำมาซึ่งน้ำจากสัตตะมหาสระ
ใส่หม้อทองมาสรงสนานให้แก่พระนาง
๑๑. ในกาลที่ทรงเกิด
เทวดาได้นำพระแท่นอันเป็นทิพย์ที่เกิดจากไม้กัลปพฤกษ์ ยาว ๘๐ ศอก กว้าง ๘๐ ศอก
ถวายให้พระนางได้บรรทมบนแท่นอันเป็นสิริโดยตลอด
๑๒. เมื่อพระนางทอดพระเนตรสมณชีพราหมณ์และชาวประชาทั้งปวง
หากประสงค์จะบริจาคทาน ฝนรัตนชาติก็จะตกลงจากอากาศให้พระนางแจกจ่ายได้ดังประสงค์ คำว่าอดอยากมิได้มี
บุรุษและมนุษย์เห็นพระนางสิริมหามยาต่างหลงใหล
เมื่อพระธิดาเจริญวัย
บุรุษและมนุษย์เมื่อเห็นพระนางสิริมหามายาต่างก็หลงใหลในความงามไม่ได้สติทุกคน
พระนางสิริมหามายาเสด็จสรงน้ำพักผ่อนในอุทยาน
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระนางสิริมหามายาอยากไปอุทยาน เหล่านางกำนัลข้ารับใช้ก็เตรียมสิ่งของไป ทรงสนุกสนานสำราญที่อุทยาน
พวกพราหมณ์ไม่พบสตรีงามตามที่ต้องการจึงมาค้นหาสตรีในเมืองเทวทหะ
พวกพราหมณ์ไม่เจอสตรีงามที่มีลักษณะ
๖๔ ประการครบถ้วน
เจอสตรีที่มีลักษณะอื่นอยู่บ้างแต่เจอไม่ครบ จนกระทั่งเดินทางมาถึงเมืองเทวทหะ ได้ยินเสียงมาจากอุทยานก็พบพระธิดาที่แวดล้อมด้วยข้าราชบริพารที่เหมือนเทพอัปสรแวดล้อมเทพธิดา
และมีรัศมีล้อมรอบตัวพระธิดา
พวกพราหมณ์พบพระธิดากลับลืมตัว
เมื่อพราหมณ์ทั้ง
๘ พบพระธิดากลับลืมตัว ไม่ได้สติเนื่องจากความงามของพระธิดา พระธิดาจึงให้นางข้ารับใช้ไปถามดู
โกญฑัญญพราหมณ์นั้นเคยบำเพ็ญบุญจึงได้สติก่อน
จึงบอกนางข้าราชบริพารถึงสิ่งที่พระเจ้าสีหหนุใช้มาให้ทราบ และนางข้าราชบริพารก็นำความไปทูลพระธิดา
โกญฑัญญพราหมณ์หลงใหลจนสลบ
โกญฑัญญพราหมณ์ก็ถูกพระธิดาเชิญไปถามว่า
แคว้นใดสั่งท่านมา เมื่อได้ฟังโกญฑัญญพราหมณ์ก็หลงใหลจนสลบไป
ฟื้นแล้วกราบทูลเหตุผลที่บอกมา
เมื่อพระธิดาเห็นเช่นนั้นก็ให้เอาน้ำเย็นมารดโกญฑัญญพราหมณ์ เมื่อสติก็บอกพระธิดาว่า พระโอรสสุทโธทนะถึงเวลาที่จะอภิเษกแล้ว
จึงให้มาตามหาหญิงงามที่มีลักษณะ ๖๔ ประการเพื่ออภิเษกกับพระโอรส
เมื่อมาเจอพระธิดาก็ได้มาพบหญิงที่มีลักษณะตามที่ต้องการ
เพียงสดับพระคุณของพระกุมาร
เจ้าหญิงก็ทรงหลงรัก
เมื่อได้ฟังพระคุณของพระกุมารก็ทรงหลงรัก
เนื่องด้วยบุพเพสันนิวาสในอดีต แต่ปิดบังเอาไว้แล้วให้โกญฑัญญพราหมณ์ไปเจรจากับพระมารดา
ทรงรับมณีปิลันธนคีวะ (เครื่องประดับสวมพระศอ)
พราหมณ์ก็ได้บอกต่อไปว่าพระเจ้าสีหหนุราชได้สั่งว่าเมื่อพบหญิงสาวที่ตามหาก็ให้มอบเครื่องประดับสวมพระศอให้ พระธิดาจึงมีรับสั่งให้ส่งมาเถิด
นางข้ารับใช้ก็เอามณีนั้นมาล้างนำแล้วประพรมด้วยของหอม ใส่ไว้ในกล่องแก้วแล้วให้พราหมณ์ไปที่อยู่ของพระบิดา
เมื่อไปถึงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พระเจ้าชนาธิปทราบ
พวกพราหมณ์ทูลคุณสมบัติของพระราชกุมาร
เหล่าพราหมณ์ก็ทูลคุณสมบัติของพระโอรสสุทโธทนะให้พระเจ้าชนาธิปทราบ
ทรงพิจารณาเห็นทั้งสองเหมาะสมกันยิ่ง
เมื่อได้ฟังดังนั้นพระเจ้าชนาธิปก็พิจารณาว่าพระธิดาและพระโอรสสุทโธทนะเหมาะสมกันยิ่ง
ตรัสให้เลี้ยงดูพวกพราหมณ์
แล้วทรงประชุมสโมสรสันนิบาตพิจารณาการสู่ขอ
พระเจ้าชนาธิปจึงสั่งให้เหล่าอมาตย์นำความไปทูลพระมเหสี
และสั่งให้ข้าราชบริพารเอาอาหารมาเลี้ยงเหล่าพราหมณ์
แล้วสั่งให้มีการประชุมพิจารณาการสู่ขอ
ที่ประชุมเห็นชอบถวายพระราชธิดาสิริมหามายา
เมื่อประชุมกันที่ประชุมก็เห็นชอบด้วย วันรุ่งขึ้นก็ให้พราหมณ์กินข้าว ให้รางวัลพราหมณ์ และให้ของแก่พระเจ้าสีหหนุ อนุญาตถวายพระธิดา แล้วส่งพราหมณ์กลับเมือง
พระเจ้าสีหหนุทรงพระสุบิน ๒ ข้อ
เมื่อพระเจ้าสีหหนุทรงบรรทมก็ทรงสุบินสองข้อที่ทั่วโลกธาตุไม่มีสิ่งใดเคยฝันแบบนั้น
พระสุบินข้อหนึ่ง ทรงเห็นวิมานรัตนะ ๗ ผุดขึ้นกลางชมพูทวีป
ข้อหนึ่งว่ามีสัตตรัตนพิมานอันหนึ่ง
ผุดขึ้นมาแต่พื้นภูมิภาคประดิษฐานในที่ท่ามกลางชมพูทวีป สูงพ้นภวัครพรหมมีพื้นที่ถึง
๒๘ ชั้น แลพื้นชั้นต่ำใหญ่กว้างแผ่ไปปกปิดเสียทั่วทั้งหมื่นจักรวาฬแลพื้นชั้น ๒ ปกปิดเสียซึ่งชั้นจาตุมหาราช
พื้นชั้น ๓ ปกปิดเสียซึ่งชั้นดาวดึงส์ พื้นอันเศษถัดๆ ขึ้นไปนั้น
ก็ปิดปิดเสียซึ่งกามาพจรเทวโลกพื้นละชั้นโดยลําดับ ตราบเท่าถึงรูปาพจรพรหมโลกทั้ง
๑๖ ชั้น รุ่งเรืองงามยิ่งนัก แลยอดวิมานนั้นล้วนแล้วด้วยแก้วมณีโอภาสส่องสว่างไปทั่วทวิเขตทั้ง
๒ คือ หมื่นจักรวาลอันเป็นชาติเขต แลแสนโกฏิจักรวาฬเป็นอาณาเขต ภายในวิมานนั้น
มีรัตนบัลลังก์อันหนึ่งสูงได้ ๓๔ แสนโยชน์ โดยกว้างได้ ๗ แสนโยชน์
แลมีอัครบุรุษผู้หนึ่งอยู่บนบัลลังก์แก้วกับด้วยนางเทพอัปสรกัญญาบริวารเป็นอันมากดําริที่จะเปิดประตูพระอมตมหานฤพาน
ตสฺมึ ขเณมหาเมโฆ ขณะนั้นมหาเมฆก็ตั้งขึ้นหลั่งลงซึ่งหยาดเมล็ดฝนทั่วทั้ง
ห้องจักรวาฬ แลเมล็ดฝนนั้นปรากฏเป็นรูปต่างๆ ตกลงมาแทบบาทมูลแห่งอัครบุรุษผู้นั้น แล้วก็กลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น และอัครบุรุษนั้นก็สั่งสอนให้เล่าเรียนศิลปศาสตร์เป็นอันมาก จะให้ชนทั้งหลายเหล่านั้นได้ซึ่งอดุลยสุข
ห้องจักรวาฬ แลเมล็ดฝนนั้นปรากฏเป็นรูปต่างๆ ตกลงมาแทบบาทมูลแห่งอัครบุรุษผู้นั้น แล้วก็กลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น และอัครบุรุษนั้นก็สั่งสอนให้เล่าเรียนศิลปศาสตร์เป็นอันมาก จะให้ชนทั้งหลายเหล่านั้นได้ซึ่งอดุลยสุข
พระสุบินข้อสอง ทรงเห็นหมู่สัตว์กลายเป็นมนุษย์
มีอัครบุรุษพาข้ามแม่น้ำหลายเที่ยว
แลพระสุบินนิมิตอื่นข้อหนึ่งเป็นคํารบ
๒ ว่ายังมีมหาคงคาอันหนึ่งกว้างลึกยิ่งนัก ดาษไปด้วยระเบียบคลื่นอันใหญ่
แลอัครบุรุษนั้นตกแต่งผูกซึ่งเรือขนานอันล้วนแล้วด้วยแก้ว
ประทับอยู่ที่ฝั่งมหาคงคาแลมีฝูงสัตว์ทั้งหลายผุดขึ้นมาจากน้ำแล้วกลับกลายเป็นมนุษย์
แล้วมีสัตว์เป็นอันมากมีรูปต่างๆ ผุดขึ้นมาจากภายใต้แผ่นดินแล้วก็กลายเป็นมนุษย์มาสู่สํานักอัครบุรุษ
อัครบุรุษก็สั่งสอนให้เรียนซึ่งมนต์ทั้งสิ้นด้วยกัน
แล้วก็พาชนบริษัทเหล่านั้นลงสู่รัตนมหานาวา แล่นข้ามมหาคงคานั้นไป
แลโลโณทกวารีในมหานทีนั้น จะได้เข้าไปในลํานาวาแก้วแต่มาตรว่าหยาดหนึ่งก็หามิได้
ส่วนองค์อัครบุรุษก็ทรงจังกูฏนั่งถือท้ายเรือแก้วนั้นไปจนถึงฝั่งฟากโพ้น
แล้วนํามหาชนขึ้นสู่ฝ๎๑ง พาเข้าไปในเมืองหนึ่งมีนามอนาลัยนคร ประกอบด้วย ปราการ ๗
ชั้น แลมีทั้งปรางคปราสาทอันรจนา แล้วพระองค์ก็กลับลงสู่รัตนนาวา
ข้ามกลับมาบรรทุกชน ทั้งหลายขนข้ามไปสู่พระนครนั้นเนืองๆ เป็นหลายครั้ง
สิ้นข้อความในสุบินเป็น ๒ ข้อเท่านั้นก็พอบรรทม ตื่นในเวลาปัจจุสสมัยกาล
พราหมณ์ทำนายว่า หาคู่ให้พระราชกุมารได้แล้ว
และพระนางจะเป็นพระพุทธมารดา
และพระนางจะเป็นพระพุทธมารดา
พอรุ่งเช้าก็ให้บิดาโกณฑัญญพราหมณ์มาทำนายฝัน
พราหมณ์ทำนายว่า หาคู่ให้พระราชกุมารได้แล้วและพระนางจะเป็นพระพุทธมารดา เมื่อได้ฟังก็ทรงดีใจ
พราหมณ์อำมาตย์ ๘ คน กลับเข้าเฝ้าถวายรายงาน
เมื่อพราหมณ์กลับมาถึงกรุงกบิลพัสดุ์ จึงนำเครื่องบรรณาการมาถวาย แล้วเล่าเรื่องทั้งหมด แล้วเล่าเรื่องพระเจ้าชนาธิปประทานพระธิดาให้
นัดวันวิวาหมงคล
สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชจึงรับสั่งให้ประชุมกษัตริย์ศักยราชทั้ง
๖๐๐,๐๐๐ พระองค์ ปรึกษาพร้อมกันแล้วก็จัดให้กษัตริย์ ๓
พระองค์กับสุดิตมัตตเสนาบดีแลสุทธิยอมาตย์ คุมเครื่องราชบรรณาการไปกับพราหมณ์ทั้ง
๘ สู่เมืองเทวทหนคร กราบทูลนัดการวิวาหมังคลาภิเษก พระเจ้าชนาธิปราชก็ทรงพระโสมนัส
จึงตรัสส่งกษัตริย์ ๓ พระองค์ กับอุปาหนเสนาบดีแลสุปดิษฐอมาตย์ให้คุมเครื่องราชบรรณาการตอบไปถวายสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราช
กําหนดการวิวาหมงคล
ขบวนเสด็จไปกรุงเทวทหะ
พระเจ้าสีหหนุราชจึงได้ตกแต่งมรรคาแต่กบิลพัสดุ์ไปตราบเท่าถึงเมืองเทวทหนคร
ประดับด้วยอลังการต่างๆ แล้วจัดกษัตริย์ศักยราชวงศ์ขึ้นทรงกุญชรชาติ ๒,๐๐๐ ประดับหัตถาภรณ์ แล้วให้พระสิริสุทโธทนราชโอรสทรงช้างต้นพระยาเศวตไอยรารัตนป๎จจัย
แวดล้อมไปด้วยกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์เป็นบริวารแล้วจัดสินธพยาน ๓,๐๐๐ ให้ศักยราชกุมารขึ้นทรงถ้วนทุกตัวม้าแห่เสด็จโดยขบวนหน้าหลังแลมีพลเดินเท้าล้วนถือธนู
๙๐๐,๐๐๐ แห่ไปเบื้องหน้าแห่งคชาพาหนยาตร
แล้วให้จัดเกวียนบรรทุกข้าวสารสัญชาตสาลี ๓๐,๐๐๐ เล่ม
แลเกวียนบรรทุกทรัพย์พัสดุสิ่งของต่างๆ ๔,๐๐๐ เล่มเกวียน
บรรทุกมัจฉมังสาผลาผลสิ่งของบริโภคทั้งปวง ๖,๐๐๐ เล่ม
ให้ล่วงหน้าไปก่อน สยํ ส่วนองค์พระเจ้าสีหหนุราชก็ทรงมงคลหัตถีแลช้างพระประเทียบทั้งปวงตามเสด็จแวดล้อมด้วยหมู่มุขเสนามาตย์
คหบดี เศรษฐี ทวิชาจารย์ แลจตุรงคโยธาหาญเป็นอันมาก เสด็จยาตราพลาพลไปเบื้องหลัง
พระเจ้าชนาธิปราชารับเสด็จ ณ อโสกอุทยาน (อยู่ในป่าลุมพินี)
ชนาธิปราชา
ส่วนสมเด็จพระเจ้าชนาธิปราชทรงทราบข่าวว่า พระเจ้าสีหหนุราชเสด็จยาตราพลมา
ก็เสด็จทรงพระราชยานน้อยแวดล้อมด้วยเสนามาตย์ราชพิริยโยธาหาญ
ออกจากพระนครไปถึงอโสกอุทยาน ยานา
โอตาเรตฺวา
จึงเสด็จลงจากพระราชยานเสด็จดําเนินด้วยพระบาทไปทําป๎จจุคมนาการรับเสด็จสมเด็จพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์
ถวายบังคมทูลเชิญเสด็จประเวสพระนคร สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชทอดพระเนตรเห็นปุาลุมพินีอันใหญ่กว้าง
เป๐นที่รัมณียสถาน จึงตรัสแก่พระเจ้าชนาธิปราช ขอพักพลประทับอยู่ในที่นั้น
พระเจ้าชนาธิปราชให้รี้พลแผ้วถางภูมิประเทศที่นั้นถวาย
พระเจ้าสีหหนุตรัสให้สร้างมหามณฑปและปราสาท ๑ องค์
ส่วนพระเจ้าชนาธิปทรงให้สร้างปราสาท ๒ องค์
พระเจ้าสีหหนุราชจึงตรัสสั่งสุรัตนวัฒกีอมาตย์
นายช่างผู้ใหญ่ให้กระทํามหามณฑปกว้างถึงกึ่งประโยชน์ กอปรด้วยเสาถึง ๘๐๐ ต้น
แล้วให้กระทําปราสาททององค์หนึ่งมีพื้น ๑๙ ชั้น ในอโสกอุทยานให้นามโกกนุทปราสาท
ส่วนพระเจ้าชนาธิปราชก็ให้สร้างปราสาท ๒ องค์ได้นามธัญมุตปราสาทองค์ ๑ เวฬุป๎ตปราสาทองค์
๑ ณ พระอุทยานนั้น
สร้างเพื่อใช้เป็นสถานมหามงคลวิวาหะในเดือน ๔
แลการปราสาททั้ง
๓ สําเร็จในเดือนหนึ่งบริบูรณ์ ครั้งถึงผคุณมาส พระเจ้าชนาธิปราช จึงให้ตกแต่งพระนครงามดุจดาวดึงส์เทวโลก
แล้วให้ตกแต่งปราสาททั้ง ๓ และมหามณฑปในอโสกอุทยาน ในท่ามกลางมหามณฑปนั้นตั้งไว้ซึ่งกองแก้ว
๗ ประการ สูงประมาณชั่วลําตาลหนึ่ง ลาดด้วยผ้ากัมพลอันหาราคามิได้ เป็นบัลลังก์สําหรับจะราชาภิเษก
ครั้นเวลารุ่งเช้าก็อัญเชิญพระสิริมหามายาราชธิดา ให้โสรจสรงเสาวคนธ์จันทโนทกธารา
แล้วทรงเครื่องสิริราชกัญญาวิภูสนาภรณ์พร้อมเสด็จแวดล้อมด้วยคณาเนกนางขัตติยราชกุมารีแสนหนึ่งเป็นบริวาร
ราชา
ส่วนสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชก็อันเชิญพระเจ้าสิริสุทโธทนราชโอรส ให้โสรจสรงสุคนโธทกธารา
แล้วทรงราชาภิษิกพัสตร์รัตนราชปิลันธนาภรณ์พร้อมเสร็จ
พออุตมฤกษ์ก็อัญเชิญเสด็จขึ้นทรงอลงกตมหามงคลราชรถ อันห้อยย้อยไปด้วยแก้วมีประการต่างๆ
เทียมด้วยสินธพชาติทั้ง ๔ มีสีดังดอกกุมุทเสด็จไปสู่มหามงคลมณฑปที่ราชาภิเษก
หมู่เทวดาและพรหมร่วมยินดี แสดงตัวให้พระราชาทอดพระเนตร
ตสฺมึ ขเณ ขณะนั้นก็ร้อนถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
สมเด็จอมรินทราธิราชทรงพระอาวัชนาการทราบเหตุ จึงเสด็จแวดล้อมด้วยเทพบริวารเป็นอันมาก
ดํารัสให้พระวิสสุกรรมเทพบุตรถือเอาซึ่งทิพยภูษาแล้วให้นางสุชาดาเทพอัปสรกัญญานําหน้าอมรบรรษัทลงสู่กรุงเทวทหนคร
ในกาลนั้น หมู่ภุมเทพยดา และรุกขเทพยดา อากาศเทพยดาทั้งหลาย
ก็ชวนกันอุโฆษณาสาธุการโกลาหลนี่สนั่น เทพยดาในชั้นฉกามาพจรสวรรค์แลมหาพรหมตั้งแต่ชั้นพรหมปาริสัชตลอดถึงภวัครอกนิษฐภพ
ได้สดับศัพท์สาธุการก็ชวนกันโสมนัสปรีดา
แลท้าวสหัมบดีมหาพรหมพระหัตถ์เบื้องขวาทรงรัตนภิงคารพระเต้าแก้ว
เต็มไปด้วยทิพยสุคนโธทกพระหัตถ์เบื้องซ้ายทรงรัตนจังโกฏก์ผอบแก้วเต็มไปด้วยสัตตรัตนมณี
แลท้าวสุทธาวาสมหาพรหมพระกรทรงทิพย์เศวตฉัตรอันใหญ่ดุจบุรุณจันทรมณฑลลงสู่เทวทหนคร
สมเด็จพระเจ้าชนาธิปราชได้ทอดพระเนตรเห็นเทพยคณะบรรษัททั้งหลาย ลงมาเป็นอันมาก
ก็ทรงพระโสมนัสตรัสสรรเสริญบุญบารมีพระราชธิดาแห่งพระองค์อันเป็นมหัศจรรย์
สกฺโก
วิสฺสุกมฺมํ อาณาเปตฺวา สมเด็จอมรินทราธิราชจึงตรัสสั่งวิสสุกรรมเทพบุตรให้กระทําพื้นลานรอบมหามณฑป
แลมรรคากึ่งโยชน์อันจะมาแต่พระนคร ตราบเท่าถึงพระอุทยานนั้น ให้ราบรื่นพื้นเสมอเป็นอันดี
เทพยดาทั้งหลายก็มาประชุมเล่นมหรสพภิเษกสมโภชในที่นั้นๆ
ขบวนพระราชธิดามายามีพระอินทร์
ส่วนพระสิริมหามายาทรงเครื่องแล้วแวดล้อมด้วยนางขัตติยกัญญาแสนหนึ่งเป็นบริวาร
เสด็จลงจากปราสาทมาทรงราชรถ แลนางสุชาดาเทพอัปสรอสุรธิดา
ก็ทรงทิพยรถยานออกจากพระนครไปสู่อุทยานแวดล้อมด้วยคณาเนกนางเทพอัปสรเป็นบริวารนําหน้ารถพระสิริมหามายาราชบุตรี
สมเด็จท้าวโกสีย์แลพระเจ้าชนาธิปราช
กับทั้งสุนันทาเทวีราชชนนีแลหมู่นางสนมนารีนิกรกัญญา กับกษัตริย์ขัตติยวงศาทั้งหลายเป็นอันมากก็ตามไปในเบื้องหลัง
หมู่เทพบรรษัททั้งหลายก็ถือฉัตรแลธงชายธงปฏากแห่ไปทั้งสองฟากถนนวิถี
เทพยดามนุษย์ทั้งปวงก็มาสโมสรสันนิบาต นั่งแวดล้อมมหามงคลวิวาหมณฑปอยู่โดยรอบในขณะนั้น
อันว่าทิพยมณฑาบุบผชาติ แลนานาทิพยกุสุมวัสสธารก็บันดาลตกเต็มทั่วพื้นภูมิสถานโดยยาวได้สองโยชน์กว้างได้โยชน์หนึ่งแต่ล้วนกองดอกไม้ทิพย์อันตกลงมาสูงเสมอหลังม้า
ขบวนพระราชกุมารสุทโธทนะมีท้าวมหาพรหม
ส่วนสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชก็ให้ตรวจเตรียมพลสารสินธพพยุหยาตร
แลให้พระสิริสุทโธทนราชกุมารลงจากราชรถ เสด็จขึ้นทรงมงคลเศวตหัตถี
อันมีนามรัตนป๎จจัยกุญชร เบื้องบนหลังดาดด้วยข่ายเงินทองแก้วทั้ง ๗ ประการ
แลตั้งซึ่งสุวรรณรัตนปราสารทเป็นราชาอาสน์ที่สถิต มีกษัตริย์ศักยราชวงศ์ ๑๐๑ พระองค์แวดล้อมเป็นบริวาร
แลท้าวสุทธาวาสมหาพรหมทรงซึ่งทิพยเศวตฉัตรอันใหญ่นําเสด็จไปในเบื้องหน้า
และราชกุมารทั้งสอง คือ พระสุกโกทนะแลอมิโตทนะผู้เป็นพระอนุชาเสด็จทรงมงคลราชรถอันเดียวกัน
พร้อมด้วยจตุรงคโยธาหาญแห่ตามท้าวมหาพรหมไปในเบื้องหน้าพระคชาธารพระสิริสุทโธทนเชษฐา
สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชก็เสด็จแวดล้อมด้วยขัตติยวงศ์ศักยราช ๖๐๐,๐๐๐ ไปในเบื้องหลัง ช้างพระที่นั่งพระราชโอรส แลหมู่เทพยดาทั้งหลายก็แวดล้อมไปเป็นอันมาก
กษัตริย์ทั้งสองฝ่าย เสด็จมาถึงซุ้มทวารพระอุทยานแล้วเสด็จเข้าสู่มหามณฑปกับด้วยเทพยเจ้าทั้งปวง
พรหมสุทธาวาสจูงพระสุทโธทนราชกุมาร นางสุชาดาธิดาอสูร
จูงพระราชธิดามายาให้ทรงจับพระหัตถ์อภิเษกสมรส
ฝ่ายท้าวสุทธาวาสมหาพรหมกําหนดซึ่งกาลอันได้อุดมมหุติฤกษ์แล้ว
ก็จูงพระหัตถ์พระสิริสุทโธทนราชกุมารขึ้นสถิต ณ เบื้องบนกองแก้ว
นางสุชาดาอสุรินทรธาดาก็จูงพระหัตถ์พระสิริมหามายาขึ้นสถิตบนรัตนราศีที่อภิเษกนั้น
แลกษัตริย์ทั้งสองก็จับพระหัตถ์ซึ่งกันและกัน สมเด็จท้าวสหัสนัยน์
ก็เปุาทิพย์วิไชยุตมหาสังข์ทักขิณาวัฏ ป๎ญจสิขคันธรรพเทพบุตรก็ดีดซึ่งพิณสามสาย
เทพยดา มนุษย์ทั้งหลายก็ประโคมทิพยดุริยางค์แลมนุษย์ดุริยางค์
บันลือศัพท์โกลาหลนี่สนั่นพร้อมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว
แลท้าวสุทธาวาสมหาพรหมก็หลั่งทิพย์อุทกธาราจากรัตนภิงคาร ถวายมุทธาภิสิญจนาการแล้วกล่าวมงคลสาประสิทธิ์พรโดยอเนกบรรยาย
เกิดแผ่นดินไหวและพระราชมารดาบูชาหมู่เทพ
ขอให้พระธิดาประสูติพระโอรสแล้วได้เป็นพระสัพพัญญู
ขณะนั้น
ก็บังเกิดมหัศจรรย์ต่างๆ มีพื้นพสุนธรากัมปนาทเป็นต้น อันว่าห่าฝนแก้ว ๗ ประการก็บันดาลตกลงจากอากาศเต็มตลอดปริเวณโยชน์หนึ่ง
โดยรอบมหามณฑปนั้น เทพยดาทั้งหลายทั่วจักรวาฬก็โปรยปรายสัตตรัตนมณี นฤโฆษศัพท์สาธุการเอิกเกริกโกลาหลบันลือลั่นเป็นอันเดียว
ตั้งแต่พื้นภูมิภาคตลอดถึงภวัครพรหม แลกษัตริย์ทั้งหลายมีสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชเป็นอาทิ
แลมหาชนบรรษัทเห็นมหัศจรรย์ดังนั้น ก็มีโลมชาติสยดสยอง
แซ่ซ้องสรรเสริญพระกฤษดาภินิหารแห่งกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์เสียงนฤโฆษ
ครุวนาดุจเสียงมหาเมฆอันกึกก้องในท้องมหาสมุทรส่วนพระสุนันทาเทวีก็จุดธูปเทียนกับทั้งสุคนธบุปผชาติบูชาเทพยดาทั้งหลาย
แล้วตรัสประกาศด้วยบาทพระคาถาว่า สพฺเพ เทวา จ นาคา จ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า
ข้าแต่เทพยดาทั้งหลายอันมีมหิทธิฤทธิ์ จงสดับคําแห่งข้าพเจ้า
ขอให้ราชธิดาของข้าพเจ้าประสูติพระโอรส ให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญํูพุทธเจ้าในโลก
เป็นอาทิดังนี้ วนฺทิตฺวา แล้วถวายวันทนาบูชาแก่กษัตริย์ทั้ง ๒
แลบรรดากษัตริย์ทั้งหลายมีสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชเป็นอาทิ
ก็อภิวาทบูชาแก่กษัตริย์ทั้ง ๒ ดุจนั้นท้าวมหาพรหมแลเทพยดาก็กระทําสักการบูชาด้วยนานาทิพยสุคนธ์
กุสุมชาติเหล่าอสุรราชทั้ง ๘ คนก็บูชาด้วยผลมะตูมสุกอันนํามาแต่ปุาหิมพานต์
ท้าวเวสวัณมหาราชก็บูชาด้วยทิพยภูษาต่างๆ อันตกลงแต่ไม้กัลปพฤกษ์
บนยอดหิมวันตบรรพตกับทั้งผลหว้าอันเกิดแต่ชมพูพฤกษ์ประจําทวีป แต่เครื่องสักการบูชาแห่งเทพยดาทั้งหลายกองสูงชั่วลําตาลหนึ่ง
แลหมู่อมรินทรพรหมต่างถวายมงคลพรมีอเนกประการ แลเล่นมหรสพสมโภชถึง ๗ วันเป็นกําหนด
แล้วท้าวเทพยดาทั้งหลายก็ถวายโอวาทนุศาสน์ให้ตั้งอยู่ในเบญจางคิกศีล
แล้วก็นิวัตนาการสู่เทวโลก
ให้สร้างปราสาท ๓ องค์ในกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อคู่อภิเษก
ส่วนสมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชและกษัตริย์ทั้งปวงยับยั้งอยู่ในมณฑป
เล่นการมหรสพสมโภชทุกทิวาราตรีถ้วนถึงไตรมาส
แล้วดําริกาลที่จะกลับยังกรุงกบิลพัสดุ์ในเชษฐมาสกาฬป๎กษ์ จึงตรัสสั่งกษัตริย์ศักยราช
๓๐๐,๐๐๐ กับสุทธิย์อมาตย์ให้ไปสร้างปราสาทองค์หนึ่ง ณ กรุงกบิลพัสดุ์
มีพื้นได้ ๗ ชั้น มีเสา ๕๐๐ ต้น แล้วไปด้วยไม้จันทร์ถวายนามจันทนปราสาท
แล้วให้พระสุกโกทนราชโอรสกับกษัตริย์ ๑๐๑ องค์ ไปสร้างปราสาทอีกองค์หนึ่ง มีพื้น ๙
ชั้น มีเสา ๕๐๐ ต้น แล้วไปด้วยไม้ราชพฤกษ์ ส่วนสมเด็จพระเจ้าชนาธิปราชก็ตรัสใช้พระขัตติยวงศ์ทั้งหลายกับสุปดิษฐอมาตย์ไปสร้างปราสาท
ณ กรุงกบิลพัสดุ์อีกองค์หนึ่งมีพื้น ๗ ชั้น มีเสา ๑,๐๐๐ ต้น
แล้วไปด้วยไม้แก่นทั้งสิ้นแลการสร้างปราสาททั้ง ๓
สําเร็จแล้วก็กลับสู่เมืองเทวทหนคร สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชก็ให้ตกแต่งประดับมรรคาตั้งแต่เมืองเทวทหนครถึงกรุงกบิลพัสดุ์
แล้วให้ราชโอรสแลพระสุณิสาขึ้นทรงอลงกตกาญจนราชอันเดียวกัน มีอเนกนิกรคณานางกํานัล
๑๐๐,๐๐๐ กับกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ แลขัตติวงศาศักยราช ๖๐๐,๐๐๐ ตามเสด็จแวดล้อมเป็นบริวาร ส่วนพระองค์ก็ทรงคชาธารแวดล้อมด้วยจตุรงคโยธาหาญ
เสด็จยกพยุหะแสนยาพลากรไปในเบื้องหน้า
ใช้เวลา ๔ เดือนครึ่งขนสิ่งต่างๆ ไปกรุงกบิลพัสดุ์
ทรงมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ฝ่ายพระเจ้าชนาธิปราชก็เสด็จยาตราพลาพลไปในเบื้องหลัง
ให้นําเอาสรรพสวิญญาณวัตถุแลอวิญญาณวัตถุซึ่งจะพระราชทานแก่พระราชธิดา เป็นต้นว่าทาสีทาสาสิ่งละแสนโกฏิแลช้างพัง
๑,๐๐๐ ช้างพลาย ๑,๐๐๐ สินธพชาติ
๘๔,๐๐๐ อุสุภกาสรสิ่งละอักโขเภณีตามไปภายหลัง
แลหนทางตั้งแต่เมืองเทวทหนครจนถึงกรุงกบิลพัสดุ์นั้น โดยกว้างถึง ๓
โยชน์เต็มไปด้วยสัตว์แลมนุษย์ทั้งหลายหาระหว่างมิได้แลหมู่มหาชนนําไปซึ่งพัสดุสิ่งของทั้งปวงสู่กรุงกบิลพัสดุ์ถึง
๔ เดือนกึ่ง จึงถึงพร้อมบริบูรณ์สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชทรงทํามงคลราชาภิเษกกษัตริย์ทั้ง
๒ เหนือรัตนบัลลังก์ถึงสามครั้ง แล้วอัญเชิญเสด็จขึ้นสถิต ณ จันทนปราสาท
แล้วมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสครองมไหศวริยสมบัติแทนพระองค์
บรรดากษัตริย์ทั้งหลายมีสมเด็จพระเจ้าชนาธิปราชเป๐นอาทิ
ก็ถวายบังคมลากลับไปสู่พระนครแห่งตนๆ
สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนมหาราชและพระสิริมหามายาเทวี ก็ทรงอุป๎ฏฐากพระราชชนกชนนีโดยเคารพแลทรงปฏิบัติในเบญจางคิกศีล
แลทศพิธราชธรรมโดยโบราณราชประเพณีทุกประการราชา
สมเด็จพระเจ้าสีหหนุราชทรงพระชราโรคาเบียดเบียนก็เสด็จทิวงคต สมเด็จพระราชโอรสและพระราชสุณิสา
กับพระขัตติยประยูรคณามัจจามาตย์ทั้งปวง ก็ประชุมกระทําการฌาปนกิจถวายเพลิงพระบรมศพโดยอุฬาริกกราชสักการบูชา
สิริสุทฺโธทโน สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนมหาราชก็เสวยมไหศวริยราชถวัลยรัชสืบสันตติวงศ์ดํารงพิภพกรุงกบิลพัสดุ์
เสวยสิริสมบัติกับด้วยพระสิริมหามายาสุขุมาลชาติราชเทวีเป็นบรมสุข
วิวาหมงคลปริวรรต
ปริจเฉทที่ ๑ จบ