กิจวัตรของพระ
๑๐ อย่าง
๑.
ลงอุโบสถ
๒.
บิณบาตเลี้ยงชีพ
๓.
สวดมนต์ไหว้พระ
๔.
กวาดอาวาสวิหารลานเจดีย์
๕.
รักษาผ้าครอง
๖.
อยู่ปริวาสกรรม
๗.
โกนผมปลงหนวดตัดเล็บ
๘.
ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์
๙.
เทศนาบัติ
๑๐.
พิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง ๔ เป็นต้น
กิจวัตร
๑๐ อย่างเหล่านี้เป็นใหญ่ควรที่ภิกษุจะต้องศึกษาให้ทราบความชัดและจำไว้ เพื่อปฎิบัติสมควรแก่สมณสารูปแห่งตน
วิธีการพิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง 4
อย่างคือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช
หรือเรียกว่า ปัจจเวกขณสุทธิ
คือ
การบริสุทธิ์ด้วยการพิจารณาก่อนที่จะใช้สอย
ปัจจัย 4 หรือ เรียกว่า ปัจจัยสันนิสสิตศีล
อันเป็นศีลที่พระภิกษุ ที่พิจารณาปัจจัยที่
ได้มาก่อนจึงใช้สอย เหตุผลที่ทรงแสดงการพิจารณาสิ่งที่ได้มาก่อนแล้วค่อยบริโภค
ใช้สอยเพื่อไม่ให้กิเลส อาสวะทั้งหลายเกิดในการใช้สอย
ปัจจัยที่ได้มา อันเป็นการปิด
กั้นกิเลส อาสวะทั้งหลายที่จะเกิดในปัจจุบัน
ที่จะเกิดเพราะสิ่งที่ได้มา พระพุทธองค์
ทรงแสดงศีล
คือปัจจัยสันนิสสิตศีล เพื่อพิจารณาด้วยปัญญา ย่อมบริสุทธิ์ด้วยการ
พิจารณาด้วยปัญญาเป็นปัจจเวกขณสุทธิ
ซึ่งปัจจัยก็มี 4 มีจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และเภสัช
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของปัญญาในการพิจารณา ปัจจัย 4 ที่ได้มาแล้วใช้สอย
พิจารณาด้วยปัญญา
ดังนี้
1. จีวร พิจารณาโดยอุบายอันแยบคายแล้วจึงใช้จีวร
เพื่อบำบัดความหนาว เพื่อ
บำบัดความร้อน
เพื่อบำบัดสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง
ลม แดดและสัตว์เสือกคลาน
เพื่อจะปกปิดอวัยวะที่ให้ความละอายกำเริบ
พิจารณาด้วยปัญญา ไม่ใช่ใช้จีวรเพื่อประดับตกแต่ง เพียงแต่เพื่ออนุเคราะห์ร่าง
กายนี้
ให้เป็นไปได้เพื่อเจริญอบรมปัญญาครับ
จึงใช้จีวรโดยอุบายตามที่กล่าวมา
เมื่อพิจารณาดังนี้
กิเลสที่จะเกิดเพราะอาศัยจีวร เป็นต้นก็ไม่เกิดครับ
2.บิณฑบาต อาหารที่ได้มา
พิจารณาโดยอุบายอันแยบคายแล้วจึงฉันบิณฑบาต
ไม่ฉันเพื่อเล่น
ไม่ฉันเพื่อเมา ไม่ฉันเพื่อประดับ ไม่ฉันเพื่อตกแต่ง
ฉันเพื่อความ
ดำรงกายนี้เพื่อให้กายนี้เป็นไป
เพื่อเว้นความลำบากแห่งกายนี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่
พรหมจรรย์
ด้วยมนสิการว่า เราจะบำบัดเวทนาเก่า
จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น
ความเป็นไปสะดวก
ความไม่มีโทษ ความผาสุกจักมีแก่เรา
ดังนั้นเมื่อได้อาหารก็พิจารณาด้วยปัญญาอย่างนี้ เช่น ฉันอาหารเพื่อดำรงชีวิตเท่า
นั้น
เพื่อที่จะได้เมื่อหิวก็แค่หายหิว(บัดบำเวทนาเก่า ไม่ให้เวทนาใหม่กำเริบ)
รวมทั้ง
ร่างกายก็ต้องการอาหาร
จึงบริโภคด้วยการพิจารณาด้วยปัญญาว่าแค่ดำรงชีวิตให้เป็น
ไปเพื่อที่จะได้อนุเคราะห์พรหมจรรย์
คือ ได้มีโอกาสอบรมปัญญาต่อไป เพราะการมี
ชีวิตอยู่
ก็ต้องอาศัยการบริโภคอาหาร เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาอย่างนี้กิเลสก็ไม่เกิดขึ้น
เพราะอาศัยอาหาร
เพราะโดยมากก็ทานกัน อิ่มแล้วก็ไม่พอ ยังอร่อยอยู่ กิเลสก็กำเริบ
เพราะอาศัยอาหาร
เป็นต้น
3.เสนาสนะ
ที่นั่ง ที่นอน พิจารณาโดยอุบายอันแยบคาย
แล้วจึงเสพ ใช้สอย
เสนาสนะ
เพื่อบำบัดความหนาว เพื่อบำบัดความร้อน
เพื่อบำบัดสัมผัสแห่งเหลือบ
ยุง
ลม แดดและสัตว์เสือกคลาน เพื่อความบรรเทาอันตรายอันเกิดแต่ฤดู
เพื่อ
ความยินดีในความหลีกเร้น
ดังนั้นเมื่อใช้สอยเสนาสนะก็ใช้สอยด้วยการพิจารณาด้วยปัญญา ไม่ใช่ใช้สอย
ที่นั่ง ที่นอน
หรือที่อยู่เพื่อความยินดี เพิ่มโลภะ เช่น ประดับตกแต่ง เป็นต้น แต่เมื่อ
พิจารณาด้วยปัญญาตามที่กล่าว
ก็ย่อมบริสุทธิ์และกิเลสที่จะเกิดขึ้นเพราะอาศัยการ
ใช้สอยเสนาสนะก็ไม่เกิดขึ้นครับ
4. คิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร พิจารณาโดยอุบายอันแยบคายแล้วจึงใช้คิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร
เพื่อบำบัดทุกขเวทนา อันเกิดเพราะธาตุกำเริบ
ซึ่งเกิดขึ้นแล้วเพื่อ
ความลำบากเป็นอย่างยิ่งเป็นกำหนดเท่านั้น