ประวัติครูบาเจ้าอภิชัยขาวปีจบ
ถูกบังคับให้สึกและครองผ้าขาวครั้งที่ 2
ที่ระมาดนี่เอง ก็มีเรื่องเศร้าใจเกิดขึ้นอีกกล่าวคือ เมื่อสร้างโบสถ์แม่ระมาดนั้นเงินไม่พอ ยังขาดอยู่อีก 700 บาท เป็นค่ารักค่าคำเปลว 400 บาท กับค่านายช่างอีก 300 บาท ท่านก็ปรึกษาเรี่ยไรเอาจากชาวบ้าน แล้วช่วยกันสร้างต่อ จนแล้วเสร็จทันฉลองจนเรื่องการเรี่ยไรนี้ทราบถึงอำเภอ จึงเรียกกำนันไปสอบสวนว่า อภิชัยภิกษุ เรี่ยไรจริงหรือไม่ กำนันก็ยอมรับว่าจริง แต่ด้วยความเต็มใจของชาวบ้าน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นงานสร้างโบสถ์ก็หยุดชะงักทางอำเภอก็ว่าเต็มใจหรือไม่ก็ผิดเพราะเป็นพระเป็นเจ้าจะทำการเรี่ยไรไม่ได้ผิดระเบียบพระสงฆ์ แล้วรายงานเรื่องนี้ไปยังเจ้าคณะจังหวัดต่างๆ จึงตัดสินว่า ให้สึกพระอภิชัยเสีย ท่านจึงยอมสึกจากภาวะความเป็นภิกษุอีกครั้ง ท่ามกลางความสลดหดหู่ใจของผู้คนที่รู้เห็นเป็นอันมากที่ครูบาของพวกเขาต้องมารับกรรมเพราะทำความดี อย่างไม่ยุติธรรม ท่านต้องห่มแบบชีปะขาวอีกครั้งหนึ่ง ที่ใต้ต้นประดู่ที่ยืนแห้งตายซากมานานแรมปี ณ ที่นี้เองมีเรื่องอัศจรรย์สมควรจะบันทึกไว้คือ พอท่านเปลี่ยนผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกายมาคลองผ้าขาวเท่านั้น ต้นประดู่ที่แห้งโกร๋นปราศจากใบก็ผลิดอกออกใบฟื้นขึ้นมาอีก ท่ามกลางความอัศจรรย์ใจของคนที่มาชุมนุมเป็นอันมาก ต่างพากันหลั่งน้ำตา ล้มตัวก้มลงกราบโดยพร้อมเพรียงกันนับเป็นปรากฏการณ์ที่จะไม่เห็นอีกในชีวิต
มารตามรังควาน
ไม่นานจากนั้น ท่านพร้อมกับผู้ติดตาม ก็มุ่งกลับสู่อำเภอลี้โดยรอนแรมมาเป็นระยะเวลา ถึง 10วัน 10 คืนก็เดินทางมาถึง อ.ลี้ พักอยู่ที่กลางทุ่งนาบ้านป่าหก ได้ 4 คืน นายอำเภอลี้ จึงให้ตำรวจมาขับไล่ไม่ให้อยู่โดยไม่มีเหตุผล ด้วยความใจดำเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงมาพักอยู่กลางทุ่งนาบ้านแม่ตืน ณ ที่นี้ก็ถูกทางอำเภอกลั่นแกล้งอีก โดยรายงานไปทางจังหวัดหาว่าชีปะขาวนำปืนเถื่อนจากแม่สอดมาถึง 1,000กระบอก หลังจากรับรายงาน จึงมีบัญชาให้ นายร้อยตำรวจ 2 คนกับพระครู 2 รูป ขึ้นมาทำการสืบค้นไต่สวน ท่านว่า “ไม่เป็นความจริงหรอก อาตมาเดินทางผ่านมาตั้งสองจังหวัดแล้ว ยังไม่เห็นมีใครมากล่าวหาเช่นนี้เลย ถ้าท่านไม่เชื่อเชิญค้นดูเองเถิด” ตำรวจทั้งสองก็ค้นสัมภาระของคณะผู้ติดตามดู ก็พบปืนแก๊ป 1 กระบอก แต่ปรากฎว่าเป็นปืนมีทะเบียนของชาวบ้านผู้ติดตามคนหนึ่งจึงไม่ว่าอะไร จากนั้นก็ไปค้นจนทั่วลามปามเข้าค้นถึงในวัดแม่ตืนจนพระเณรแตกตื่นเป็นโกลาหล แต่ก็ไม่พบอะไรอีก จึงพาเดินทางกลับด้วยความผิดหวังก่อนกลับก็ไปต่อว่าต่อขานทางอำเภอลี้เสียหนาม้านเสียว่าหลอกให้เดินทางมาเสียเวลาเปล่า เหนื่อยแทบตาย(เพราะสมัยนั้นไม่มีรถยนต์แม้แต่คันเดียว) ทางอำเภอจึงจำเป็นต้องออกค่าเดินทาง พร้อมเสบียงอาหารให้คณะนายตำรวจ ดังกล่าวเดินทางกลับ เสร็จจากเรื่องที่กล่าวหานั้นแล้ว ท่านพร้อมกับคณะก็เดินทางจากแม่ตืนไปหาท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่วัดพระนอนปูคา บ้านปูคา อำเภอสันกำแพง เชียงใหม่ ระหว่างทางพักที่วัดห้วยกานคืนหนึ่ง เมื่อเข้าเขตกิ่งบ้านโฮ่ง ชาวบ้านก็พาตำรวจมาดักจับอีกด้วยข้อหาอะไรไม่แจ้ง แต่ตำรวจก็จับไม่ไหว เพราะคนตั้งมากมาย ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงล่าถอยไป ท่านจึงไปพักที่วัดดงฤาษีคืนหนึ่ง แล้งมุ่งไปทางบ้านหนองล่อง ณ ที่นี้ถูกคณะข้าหลวงดักจับอีก แต่จับไม่ไหวอีกเช่นกัน
ผู้ว่าราชการเชียงใหม่มาขอพบ
เมื่อถึงวัดท่าลี่ ขณะที่พักอยู่ที่ศาลา ในตอนเย็น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่จึงเข้าไปสอบถาม
ผู้ว่าฯ “ท่านอยู่บ้านใด เกิดที่ไหน”
ครูบาฯ “เดิมอาตมาอยู่บ้านแม่เทย อ.ลี้ ลำพูนนี่เอง”
ผู้ว่าฯ “อ้อ ท่านก็เป็นคนเมืองเราเหมือนกัน ก่อนมาถึงที่นี่ท่านไปไหนมา”
ครูบาฯ “อาตมามาจากพม่า”
ผู้ว่าฯ “ไปอยู่นานไหม”
ครูบาฯ “5 ปีแล้ว”
ผู้ว่าฯ “อือ ก็ไม่เห็นมีอะไรดังที่เขาเล่าลือ แต่ก็มีอีกอย่างขอให้ท่านเสียค่าประถมศึกษา 8 บาท ให้กับทางอำเภอเสีย ตามระเบียบที่ทางการกำหนดไว้ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร”
ขณะนั้นกำนันกับชาวบ้านที่ร่วมชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้นได้ยินจึงช่วยกับบริจาคให้ท่านได้ถึง 15 บาท จึงมอบให้กับนายตำรวจคนหนึ่งที่มากับผู้ว่าฯไป แต่นับว่าเป็นคราวเคราะห์ของตำรวจคนนั้น ซึ่งพอรับเงินสักครู่ก็ทำหายเสีย ต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่ายไปแทนตามระเบียบ
หลังจากพักที่ท่าลี่คืนหนึ่งแล้ว ท่านพร้อมกับคณะก็ขนของข้ามแม่น้ำปิงไปขึ้นรถ ไปจนถึงวัดพระนอนปูคาแล้วอยู่ร่วมฉลองวิหารพรนอนปูคา ร่วมกับท่านครูบาศรีวิชัยจนเสร็จแล้ว แล้วก็กลับมาหมายจะมาจำพรรษาที่วัดแม่ตื้น อ.ลี้ อีก แต่นายอำเภอก็สั่งให้กำนันมาไล่ไม่ให้มาอยู่เด็ดขาด
สร้างวัดพระบาทตะเมาะ
ก็พอดีท่านคิดได้ว่ามีญาติทางพ่อของท่านเป็นกำนันอยู่ที่ตำบลดอยเต่า จึงให้คนมา บอกให้มาพบท่าน เมื่อกำนันมาถึงแล้วท่านก็ถามว่า “อาตมาจะไปอยู่ที่วัดพระบาทตะเมาะได้หรือไม่” กำนันดอยเต่าจึงไปปรึกษากับทางอำเภอ จึงบอกว่า ดีแล้ว ให้ไปบอกให้ท่านมาอยู่เร็วๆเถิด ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ไปอยู่ที่วัดพระบาทตะเมาะ โดยสร้างอารามขึ้นที่นั่นด้วยความร่วมมือทั้งฝ่ายนายอำเภอและป่าไม้อำเภอให้จับจองที่กว้างยาว 500 วา ยาว 500 วา และที่พระบาทตะเมาะนี่เอง ท่านได้สร้างวิหารครอบรอยพุทธบาทหนึ่งหลัง มีเจดีย์ตั้งอยู่บนวิหาร 9 ยอด นับว่าเป็นศิลปะที่งดงาม ปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งท่านจะไปเที่ยวชมได้นับเป็นวิเวกสถานที่เหมาะกับผู้ใฝ่หาความสงบที่เหมาะมากอีกแห่งหนึ่ง
ช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ
แต่ด้วยวิญญาณของนักพัฒนาท่านก็อยู่จำพรรษาที่วัดพระบาทตะเมาะไม่นาน ขณะนั้นครูบาศรีวิชัยกำลังสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ เชียงใหม่อยู่ท่านจึงพากะเหรี่ยง 500 คน ขึ้นไปช่วยทำถนนขึ้นกับดอยสุเทพกับอาจารย์จนเสร็จสิ้น จึงกลับลงมาพักกับอาจารย์ที่วัดพระสิงห์
อุปสมบทครั้งที่ 3
ที่วัดพระสิงห์นี้ครูบาศรีวิชัยก็อุปสมบทให้ท่านเป็นภิกษุอีกเป็นครั้งที่ 3 แต่กระนั้นก็ตาม ดูเหมือนว่าท่านไม่มีบุญพอที่จะอยู่ในผ้าเหลืองได้นานๆ ก็พอดีกับท่านครูบาศรีวิชัย ก็ต้องเกิดคดีต่างๆ นานา ต้องเดินทางไปกรุงเทพ ฯ คงทิ้งให้ท่านอยู่รักษาวัดพระสิงห์แต่เพียงผู้เดียว
ครองผ้าขาวครั้งที่ 3
ด้วยจิตใจที่เป็นห่วงในตัวของอาจารย์ท่านยิ่งนัก มีพระครูวัดเกตุการามกับท่านพระครูวัดพันอ้นรูปหนึ่งมาบอกให้ท่านสึกเสีย เพราะมิฉะนั้นครูบาศรีวิชัยจะถูกจำคุก ท่านจึงสึกเป็นชีปะขาวอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงออกจากวัดพระสิงห์กลับไปพักที่วัดบ้านปางด้วยความเหงาใจ แต่ท่านก็ไม่ละทิ้งงานก่อสร้าง จึงได้สร้างกุฎิที่วัดบ้านปางด้วย 1 หลัง แล้วกลับไปอยู่วัดพระบาทตะเมาะตามเดิม
สูญเสียอาจารย์
ชีวิตท่านช่วงนี้ คงมุ่งอยู่กับงานก่อสร้างไม่หยุดหย่อน จากที่นี่ย้ายไปที่นั่นไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งครูบาศรีวิชัยพ้นจากมลทินที่ถูกกล่าวหาท่ามกลางความดีใจของสาธุชนทั้งหลาย แต่ความดีใจนั้นคงอยู่ได้ไม่นานท่านครูบาศรีวิชัยก็ได้อาพาธหนัก แล้วถึงแก่มรณภาพลงในที่สุด ยังความโศกาดูรให้เกิดแก่มหาชนผู้เลื่อมใสโดยทั่วไป ลานนาไทยได้สูญเสียนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ หากจะเอาสียงร่ำไห้มารวมกันแล้วใช้เสียงแห่งความวิปโยคนี้คงได้ยินไปถึงสวรรค์ท่านเองในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ที่ท่านอาจารย์ได้พร่ำสอนตั้งแต่ยังเล็กๆก็มีความเศร้าโศกเสียใจมิใช่น้อยแต่ก็ปลงได้ด้วยได้ด้วยธรรมสังเวชโดยอารมณ์กรรมฐาน ท่านจึงสร้างเมรุหลังหนึ่งกับปราสาทหลังหนึ่งพร้อมกับหีบบรรจุศพ เพื่อเก็บไว้รอการฌาปนกิจต่อไปที่วัดบ้านปางซึ่งได้มีการฌาปนกิจศพท่านครูบาศรีวิชัยอีกไม่กี่ปีหลังมรณภาพไม่นาน
สร้างวัดผาหนาม ที่พำนักในปัจฉิมวัย
วันคืนยังคงหมุนไป
พร้อมกับความเป็นนักก่อสร้างพัฒนาของท่านก็ยิ่งลือกระฉ่อนยิ่งขึ้น เมื่อขาดท่านครูบาศรีวิชัยผู้คนก็หลั่งไหลกันมาหาท่านอย่างมืดฟ้ามัวดินในฐานะทายาททางธรรมของครูบาศรีวิชัยผลงานระยะต่อมาเมื่อได้รับพลังอย่างท่วมท้นขึ้น จึงยิ่งใหญ่เป็นลำดับ และกว้างขวางหากำหนดมิได้โดยไม่เคยว่างเว้น จนถึงพุทธศักราช 2470 อายุสังขารของท่านเริ่มชราลงแล้วคือมีอายุ 76 ปี แต่ท่านยังคงแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งนี้ อาจจะด้วยอำนาจผลบุญที่ได้บำเพ็ญมาก็ได้ แต่ท่านได้คิดว่า คนเราจะฝืนอำนาจกฎแห่งสังสารวัฎไปไม่ได้ จึงสมควรจะสร้างสถานที่สักแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นที่พักปฎิบัติธรรมในปัจฉิมวัย ก็พอดีชาวบ้านผาหนามซึ่งอพยพมาจากอำเภอฮอด หนีภัยน้ำท่วมมาอยู่ที่บ้านผาหนาม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มีพ่อน้อยฝน ตุ่นวงศ์ เป็นประธาน พร้อมกับชาวบ้านได้มานิมนต์ท่านให้ไปสร้างอารามใกล้เชิงดอยผาหนาม เพื่อเป็นที่พึ่งกายใจและประกอบศาสนกิจ ท่านก็รับนิมนต์ พร้อมกับชอบใจสถานที่ดังกล่าวและตั้งใจว่าจะเป็นสถานที่สุดท้าย เพื่อเป็นที่พำนักและปฎิบัติธรรมของท่าน จึงพร้อมใจกับคณะศรัทธาบ้านผาหนามและศรัทธาจากทั่วทุกสารทิศก่อสร้างเป็นอารามขึ้นจากนั้นจนมีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมากมายและท่านถือที่แห่งนี้เป็นที่พำนักอยู่เสมอ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะงดมิไปสร้าง หรือพัฒนาที่อื่นอีก แต่ยังคงไปเป็นประธานสร้างสถานที่ต่างๆ ควบคู่กับงานสร้างวัดผาหนามอีกหลายๆ แห่ง
วันจากที่ยิ่งใหญ่
แล้วในปี 2514 คณะศรัทธาวัดสันทุ่งฮาม แห่งจังหวัดลำปาง ก็ได้มานิมนต์ท่าน เพื่อไปเป็นประธานในการก่อสร้างอีก ซึ่งท่านก็ไม่ขัดข้องด้วยความเมตตาอันมีอยู่อย่างหาขอบเขตมิได้ของท่าน แม้ตอนนั้นตัวท่านจะชราภาพมากแล้ว คือมีอายุ 83 ปี หลังจากที่ท่านเป็นประธานให้ที่วัดสันทุ่งฮ่ามได้ไม่นาน คณะศรัทธาวัดท่าต้นธงชัย จ.สุโขทัย ได้มานิมนต์ท่าน เพื่อเป็นประธานในการก่อสร้างวิหาร
วันนั้นเป็นวันที่ 2 มีนาคม 2520 เมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม 2520 ท่านได้มาถึงวัดท่าต้นธงชัยแล้ว เวลา 16.00น. ท่านก็ได้มรณภาพ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านได้ขอสร้างกระท่อมเป็นที่พักอาศัยมุงหลังคาใบจาก เนื่องจากท่านไม่ต้องการที่พักที่ประดับอย่างประณีต ท่านมรณภาพที่กระท่อมใต้ต้นนิโครธ มีลมพายุใหญ่พัดมาที่กระท่อม แล้วมีลูกไฟออกจากปากของท่านไป ลูกไฟวิ่งชนฝากระท่อมทะลุลอยไปบนฟ้า หลังจากท่านจากไปฝนตกหนักทั้งวันทั้งคืนเจ็ดวันไม่หยุด