วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สติปัฎฐานะปาโฐ

สติปัฎฐานะปาโฐ
            อัตถิ  โข  เตนะ  ภะคะวะตา  ชานะตา  ปัสสะตา  อะระหะตา  สัมมาสัมพุทเธนะ  เอกายะโน  อะยัง  มัคโค  สัมมะทักขาโต   สัตตานัง  วิสุทธิยา  โสกะปะริเทวานัง  สะมะติกกะมายะ  ทุกขะโทมะนัสสานัง  อัตถังคะมายะ  ญายัสสะ  อะธิคะมายะ          นิพพานัสสะ  สัจฉิกิริยายะ. ยะทิทัง  จัตตาโร   สะติปัฎฐานา.  กะตะเม  จัตตาโร.
            อิธะ  ภิกขุ  กาเย  กายานุปัสสี  วิหะระติ  อาตาปี  สัมปะชาโน  สะติมา  วิเนยยะ  โลเก  อะภิชฌาโทมะนัสสัง.  เวทะนาสุ  เวทะนานุปัสสี  วิหะระติ  อาตาปี  สัมปะชาโน  สะติมา  วิเนยยะ  โลเก  อะภิชฌาโทมะนัสสัง.  จิตเต  จิตตานุปัสสี  วิหะระติ  อาตาปี  สัมปะชาโน  สะติมา  วิเนยยะ  โลเก  อะภิชฌาโทมะนัสสัง.  ธัมเมสุ  ธัมมานุปัสสี  วิหะระติ  อาตาปี  สัมปะชาโน  สะติมา  วิเนยยะ  โลเก  อะภิชฌาโทมะนัสสัง.
            กะถัญจะ  ภิกขุ  กาเย  กายานุปัสสี  วิหะระติ.  อิธะ  ภิกขุ  อัชฌัตตัง  วา  กาเย  กายานุปัสสี  วิหะระติ  พะหิทธา  วา  กาเย  กายานุปัสสี  วิหะระติ.  อัชฌัตตะพะหิทธา  วา  กาเย  กายานุปัสสี  วิหะระติ  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี  วา  กายัสํมิง  วิหะระติ  วะยะธัมมานุปัสสี  วา  กายัสํมิง  วิหะระติ  วะยะธัมมานุปัสสี  วากายัสํมิง  วิหะระติ  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี  วา  กายัสํมิง  วิหะระติ  อัตถิ  กาโยติ  วา  ปะนัสสะ  สะติ  ปัจจุปัฎฐิตา  โหติ  ยาวะเทวะ  ญาณะมัตตายะ  ปะฎิสสะติมัตตายะ  อะนิสสิโต  จะ  วิหะระติ  นะ  จะกิญจิ  โลเก  อุปาทิยะติ  เอวัง  โข  ภิกขุ  กาเย  กายานุปัสสี  วิหะระติ.
            กะถัญจะ  ภิกขุ  เวทะนาสุ  เวทะนานุปัสสี  วิหะระติ.  อิธะภิกขุ  อัชฌัตตัง  วา  เวทะนาสุ  เวทะนานุปัสสี  วิหะระติ  พะหิทธา  วา เวทนาสุ  เวทะนานุปัสสี  วิหะระติ  อัชฌัตตะพะหิทธา  วา  เวทะนาสุ  เวทะนานุปัสสี  วิหะระติ  อัชฌัตตะพะหิทธา  วา  เวทะนาสุ  เวทะนานุปัสสี  วิหะระติ  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี  วา  เวทะนาสุ  วิหะระติ  วะยะธัมมานุปัสสี  วา  เวทะนาสุ  วิหะระติ  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี  วา  เวทะนาสุ  วิหะระติ.  อัตถิ  เวทะนาติ  วา  ปะนัสสะ  สะติ  ปัจจุปัฎฐิตา  โหติ  ยาวะเทวะ  ญาณะมัตตายะ   ปะฎิสสะติมัตตายะ.อะนิสสิโต  จะ  วิหะระติ  นะ  จะ  กิญจิ  โลเก  อุปาทิยะติ.  เอวัง  โข  ภิกขุ  เวทะนาสุ  เวทะนานุปัสสี  วิหะระติ
            กะถัญจะ  ภิกขุ  จิตเต  จิตตานุปัสสี  วิหะระติ. อิธะ  ภิกขุ  อัชฌัตตัง  วา  จิตเต  จิตตานุปัสสี  วิหะระติ  พะหิทธา  วา  จิตเต  จิตตานุปัสสี  วิหะระติ  อัชฌัตตะพะหิทธา  วา  จิตเต   จิตตานุปัสสี  วิหะระติ  สะมุททะยะธัมมานุปัสสี  วา  จิตตัสํมิง  วิหะระติ  วะยะธัมมานุปัสสี  วา  จิตตัสํมิง  วิหะระติ  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี   วา  จิตตัสํมิง  วิหะระติ  อัตถิ  จิตตันติ  วา  ปะนัสสะ  สะติ  ปัจจุปัฎฐิตา  โหติ  ยาวะเทวะ  ญาณะมัตตายะ   ปะฎิสสะติมัตตายะ  อะนิสสิโต  จะ  วิหะระติ  นะ  จะ  กิญจิ  โลเก  อุปาทิยะติ .  เอวัง  ภิกขุ  จิตเต   จิตตานุปัสสี  วิหะระติ.
            กะถัญจะ  ภิกขุ  ธัมเมสุ  ธัมมานุปัสสี  วิหะระติ.อิธะ  ภิกขุ  อัชฌัตตัง  วา  ธัมเมสุ   ธัมมานุปัสสี  วิหะระติ  พะหิทธา  วา  ธัมเมสุ  ธัมมานุปัสสี  วิหะระติ  อัชฌัตตะพะหิทา  วา  ธัมเมสุ  ธัมมานุปัสสี  วิหะระติ.  สะมุทะยะธัมมานุปัสสี  วา  ธัมเมสุ  วิหะระติ  วะยะธัมมานุปัสสี  วา  ธัมเมสุ  วิหะระติ  สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี  วา  ธัมเมสุ  วิหะระติ  อัตถิ  ธัมมาติ  วา  ปะนัสสะ  สะติ  ปัจจุปัฎฐิตา  โหติ  ยาวะเทวะ  ญาณะมัตตายะ  ปะฎิสสะติมัตตายะ.  อะนิสสิโต  จะ  วิหะระติ  นะ  จะ  กิญจิ  โลเก  อุปาทิยะติ  เอวัง  โข  ภิกขู  ธัมเมสุ  ธัมมานุปัสสี  วิหะระติ.
            อะยัง  โข  เตนะ  ภะคะวะตา  ชานะตา  ปัสสะตา  อะระหะตา   สัมมาสัมพุทเธนะ   เอกานะโน  มัคโค  สัมมะทักขาโต  สัตตานัง  วิสุทธิยา  โสกะปะริเทวานัง  สะมะติกกะมายะ  ทุกขะโทมะนัสสานัง  อัตถังคะมายะ  ญายัสสะ  อะธิคะมายะ  นิพพานัสสะ  สัจฉิกิริยายะ  ยะทิทัง  จัตตาโร  สะติปัฎฐานาติ.
                                    เอกายะนัง  ชาติขะยันตะทัสสี
                                    มัคคัง  ปะชานาติ  หิตานุกัมปี
                                    เอเตนะ  มัคเคนะ  ตะริงสุ  ปุพเพ

                                    ตะริสสะเร  เจวะ  ตะรันติ  โจฆันติ.
 สติปัฏฐานะปาฐะ แปล

หนทางสายนี้ ซึ่งเป็นทางไปสายเอก 
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แจ้งเห็นจริง 
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ตรัสไว้โดยชอบ
เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร
เพื่อความอัศดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม
เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน มีอยู่แล
หนทางสายนี้ ก็คือ สติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน ๔ มีอะไรบ้าง
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้พิจารณา
เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
เครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเครื่องเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ
ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำมีสัมปชัญญะ มีสติ
ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่เป็น
ประจำ มีสัมปชัญญะ มีสติ
ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
ภิกษุย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยุ่เป็นประจำอย่างไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายในกายเป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกายในภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นกาย ทั้งกายในและภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมไปในกายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในกายบ้าง
ก็หรือว่า ความระลึกว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่
เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น
แค่เพียงสักว่าเป็นทีอาศัยระลึกแค่เพียงสักวาเป็นที่รู้
เธอย่อมไม่ติดอยู่และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นไรๆ ในโลก
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้แล
ก็ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
ทั้งหลายอยู่เนืองๆ อย่างไรเล่า
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาทั้งหลาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปแห่งเวทนาบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปแห่งเวทนาบ้าง
ก็หรือความระลึกว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น
แค่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แค่เพียงสักว่าเป็นที่อาสัยระลึก
เธอย่อมไม่ติดอยู่และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆ ในโลก
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เนืองๆ อย่างนี้ แล
ก็ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่เป็นอย่างไร
ภิกษุโนธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งเป็นภายใน ทั้งเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือ ความเกิดขึ้นในจิตบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในจิตบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในจิตบ้าง
ก็หรือว่า ความระลึกว่า มีจิตๆ ย่อมปรากฏอยู่
เฉพาะหน้าเธอนั่น
เพียงแต่สักรู้ว่า เพียงแต่สักว่า
เป็นที่อาศัยระลึก
เธอย่อมไม่ติดอยู่
และย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เนืองๆ อย่างนี้แล
ก็ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนื่องๆ อยู่อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมใน
ธรรมทั้งหลาย เป็นภายในบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเป็นภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายทั้ง
ภายในทั้งภายนอกบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือ ความเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในธรรมทั้งหลายบ้าง
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในธรรมทั้งหลายบ้าง
ก็หรือว่า ความระลึกว่า
ธรรมทั้งหลายมีอยู่
ย่อมปรากฏอยู่ต่อหน้าเธอ
เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่า
เป็นที่อาศัยระลึกเท่านั้น
เธอย่อมไม่ติดอยู่ และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นสิงไรๆ ในโลก
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนืองๆ อยู่อย่างนี้แล
หนทางสายนี้แหละ เป็นหนทางสายเอก
ซึ่งพระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้แจ้งเห็นจริง อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบ
เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อความก้าวล่วงความเศร้าโศกและความคร่ำครวญพิไรรำพัน
เพื่อความอัศดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง                              
หนทางที่กล่าวถึงซึ่งเป็นหนทางสายเอกนี้ก็คือ สติปัฏฐาน ๔
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เล็งเห็นพระนิพพาน
ผู้ทรงอนุเคราะห์หมู่สัตว์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล
ย่อมทรงรู้แจ้งซึ่งหนทางสายเอก ในอดีต อนาคต
หรือแม้กระทั่งในปัจจุบัน สัตว์ทั้งหลายล้วนใช้หนทางสายเอกนั้นข้ามห้วงน้ำคือกิเลส



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น