วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อาฎานาฏิยะปะริตตัง

อาฎานาฏิยะปะริตตัง
วิปัสสิสสะ  นะมัตถุ                                                            จักขุมันตัสสะ  สิรีมะโต
สิขิสสะปิ  นะมัตถุ                                                   สัพพะภูตานุกัมปิโน
เวสสะภุสสะ  นะมัตถุ                                             นํหาตะกัสสะ  ตะปัสสิโน
นะมัตถุ  กะกุสันธัสสะ                                           มาระเสนัปปะมัททิโน
โกนาคะมะนัสสะ  นะมัตถุ                                                พํราหํมะณัสสะ  วุสีมะโต
กัสสะปัสสะ  นะมัตถุ                                              วิปปะมุตตัสสะ  สัพพะธิ
อังคีระสัสสะ  นะมัตถุ                                            สักํยะปุตตัสสะ  สิรีมะโต
โย  อิมัง  ธัมมะมะเทเสสิ                                         สัพพะทุกขาปะนูทะนัง
เย  จาปิ  นิพพุตา  โลเก                                            ยะถาภูตัง  วิปัสสิสุง
เต  ชะนา  อะปิสุณา                                                 มะหันตา  วีตะสาระทา
หิตัง  เทวะมะนุสสานัง                                           ยัง  นะมัสสันติ  โคตะมัง
วิชชาจะระณะสัมปันนัง                                         มะหันตัง  วีตะสาระทัง  ฯ
(วิชชาจะระณะสัมปันนัง                                        พุทธัง  วันทามะ  โคตะมันติ)
            นะโม  เม  สัพพะพุทธานัง                          อุปปันนานัง  มะเหสินัง
ตัณหังกะโร  มะหาวีโร                                           เมธังกะโร  มะหายะโส
สะระณังกะโร  โลกะหิโต                                      ทีปังกะโร  ชุตินธะโร
โกณฑัญโญ  ชะนะปาโมกโข                                มังคะโล  ปุริสาสะโภ
สุมะโน  สุมะโน  ธีโร                                              เรวะโต  ระติวัฑฒะโน
โสภีโต  คุณะสัมปันโน                                           อะโนมะทัสสี  ชะนุตตะโม
ปะทุโม  โลกะปัชโชโต                                           นาระโท  วะระสาระถี
ปุทุมุตตะโร  สัตตะสาโร                                        สุเมโธ  อัปปะฎิปุคคะโล
สุชาโต  สัพพะโลกัคโค                                          ปิยะทัสสี  นะราสะโภ
อัตถะทัสสี  การุณิโก                                               ธัมมะทัสสี  ตะโมนุโท
สิทธัตโถ  อะสะโม  โลเก                                       ติสโส  จะ  วะทะตัง  วะโร
ปุสโส  จะ  วะระโท  พุทโธ                                    วิปัสสี  จะ  อะนูปะโม
สิขี  สัพพะหิโต  สัตถา                                            เวสสะภู  สุขะทายะโก
กะกุสันโธ  สัตถะวาโห                                          โกนาคะมะโน  ระณัญชะโห
กัสสะโป  สิริสัมปันโน                                           โคตะโม  สักํยะปุงคะโว ฯ
            เอเต  จัญเญ  จะ  สัมพุทธา                          อะเนกะสะตะโกฎะโย
สัพเพ  พุทธา  อะสะมะสะมา                                สัพเพ  พุทธา  มหิทธิกา
สัพเพ  ทะสะพะลูเปตา                                           เวสารัชเชหุปาคะตา
สัพเพ  เต  ปะฏิชานันติ                                           อาสะภัณฐานะมุตตะมัง
สีหะนาทัง  นะทันเต  เต                                          ปะริสาสุ  วิสาระทา
พํรัหํมะจักกัง  ปะวัตเตนติ                                     โลเก  อัปปะฎิวัตติยัง
อุเปตา  พุทธะธัมเมหิ                                               อัฎฐาระสะหิ  นายะกา
ทํวัตติงสะลักขะณูเปตา-                                         สีตํยานุพํยัญชะนาธะรา
พุทธา  สัพพัญญุโน  เอเต                                        สัพเพ  ขีณาสะวา  ชินา
มะหัปปะภา  มะหาเตชา                                         มะหาปัญญา  มะหัพพะลา
มะหาการุณิกา  ธีรา                                                  สัพเพสานัง สุขาวะหา
ทีปา  นาถา  ปะติฎฐา  จะ                                        ตาณา  เลณา  จะ  ปาณินัง
คะตี  พันธู  มะหัสสาสา                                          สะระณา  จะ  หิเตสิโน
สะเทวะกัสสะ  โลกัสสะ                                        สัพเพ  เอเต  ปะรายะนา
เตสาหัง  สิระสา  ปาเท                                            วันทามิ  ปุรสุตตะเม
วะจะสา  มะนะสา  เจวะ                                         วันทาเมเต  ตะถาคะเต
สะยะเน  อาสะเน  ฐาเน                                          คะมะเน  จาปิ  สัพพะทา
สะทา  สุเขนะ  รักขันตุ                                            พุทธา  สันติกะรา  ตุวัง
เตหิ  ตํวัง  รักขิโต  สันโต                                        มุตโต  สัพพะภะเยนะ  จะ
สัพพะโรคะวินิมุตโต                                              สัพพะสันตาปะวัชชิโต
สัพพะเวระมะติกกันโต                                          นิพพุโต  จะ  ตุวัง  ภะวะ ฯ
            เตสัง  สัจเจนะ  สีเลนะ                                ขันติเมตตาพะเลนะ  จะ
เตปิ  ตุมเห  อะนุรักขันตุ                                         อาโรคํเยนะ  สุเขนะ  จะ ฯ
ปุรัตถิมัสํมิง  ทิสาภาเค                                สันติ  ภูตา  มะหิทธิกา
เตปิ  ตุมเห  อะนุรักขันตุ                                         อาโรคํเยนะ  สุเขนะ  จะ
ทักขิณัสํมิง  ทิสาภาเค                                             สันติ  เทวา  มะหิทธิกา
เตปิ  ตุมเห  อะนุรักขันตุ                                         อาโรคํเยนะ  สุเขนะ  จะ                 
ปัจฉิมํมิง  ทิสาภาเค                                                 สันติ  นาคา  มะหิทธิกา
เตปิ  ตุมเห  อะนุรักขันตุ                                         อาโรคํเยนะ  สุเขนะ  จะ
อุตตะรัสํมิง  ทิสาภาเค                                            สันติ  ยักขา  มะหิทธิกา
เตปิ  ตุมเห  อะนุรักขันตุ                                         อาโรคํเยนะ  สุเขนะ  จะ
ปุริมะทิสัง  ธะตะรัฎโฐ                                           ทักขิเณนะ  วิรุฬหะโก
ปัจฉิเมนะ  วิรูปักโข                                                 กุเวโร  อุตตะรัง  ทิสัง
จัตตาโร  เต  มะหาราชา                                          โลกะปาลา  ยะสัสสิโน
เตปิ  ตุมเห  อะนุรักขันตุ                                         อาโรคํเยนะ  สุเขนะ  จะ
อากาสัฎฐา  จะ  ภุมมัฎฐา                                        เทวา  นาคา  มะหิทธิกา
เตปิ  ตุมเห  อะนุรักขันตุ                                         อาโรคํเยนะ  สุเขนะ  จะ
            นัตถิ  เม  สะระณัง  อัญญัง                          พุทโธ  เม  สะระณัง  วะรัง
เอเตนะ  สัจจะวัชเชนะ                                           โหตุ  เต  ชะยะมังคะลัง
นัตถิ  เม  สะระณัง  อัญญัง                                      ธัมโม  เม  สะระณัง  วะรัง
เอเตนะ  สัจจะวัชเชนะ                                           โหตุ  เต  ชะยะมังคะลัง
นัตถิ  เม  สะระณัง  อัญญัง                                      สังโฆ  เม  สะระณัง  วะรัง
เอเตนะ  สัจจะวัชเชนะ                                           โหตุ  เต  ชะยะมังคะลัง  ฯ
            ยังกิญจิ  ระตะนัง  โลเก                               วิชชะติ  วิวิธัง  ปุถุ
ระตะนัง  พุทธะสะมัง  นัตถิ                                   ตัสํมา  โสตถี  ภะวันตุ  เต
ยังกิญจิ  ระตะนัง  โลเก                                           วิชชะติ  วิวิธัง  ปุถุ
ระตะนัง  ธัมมะสะมัง  นัตถิ                                   ตัสํมา  โสตถี  ภะวันตุ  เต
ยังกิญจิ  ระตะนัง  โลเก                                           วิชชะติ  วิวิธัง  ปุถุ
ระตะนัง  สังฆะสะมัง  นัตถิ                                   ตัสํมา  โสตถี  ภะวันตุ  เต ฯ
            สักกัตํวา  พุทธะตะนัง                                 โอสะถัง  อุตตะมัง  วะรัง
หิตัง  เทวะมะนุสสานัง                                           พุทธะเตเชนะ  โสตถินา
นัสสันตุปัททะวา  สัพเพ                                         ทุกขา  วูปะสะเมนตุ  เต
สักกัตํวา  ธัมมะระตะนัง                                         โอสะถัง  อุตตะมัง  วะรัง
ปะริฬาหูปะสะมะนัง                                               ธัมมะเตเชนะ  โสตถินา
นัสสันตุปัททะวา  สัพเพ                                         ภะยา  วูปะสะเมนตุ  เต
สักกัตํวา  สังฆะระตะนัง                                        โอสะถัง  อุตตะมัง  วะรัง
อาหุเนยยัง  ปาหุเนยยัง                                            สังฆะเตเชนะ  โสตถินา
นัสสันตุปัททะวา  สัพเพ                                         โรคา  วูปะสะเมนตุ  เต ฯ
            สัพพีติโย  วิวัชชันตุ                                     สัพพะโรโค  วินัสสะตุ
มา  เต  ภะวัตํวันตะราโย                                         สุขี  ทีฆายุโก  ภะวะ
อะภิวาทะนะสีลิสสะ                                              นิจจัง  วุฑฒาปะจายิโน

จัตตาโร  ธัมมา  วัฑฒันติ                                        อายุ  วัณโณ  สุขัง  พะลัง ฯ
ตำนาน
       
       สมัยหนึ่งสมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฎบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์มหานคร ในครั้งนั้น ท้าวจาตุมมหาราชทั้ง ๔ ซึ่งสถิตย์อยู่เหนือยอดเขายุคันธร ที่เรียกว่าชั้นจาตุมหาราชิกา อันเป็นชั้นต่ำกว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมาซึ่งเป็นที่สถิตย์ขององค์อินทราธิราช
       
       พระอินทร์ ทรงมีเทวะพระบัญชาให้มหาราชทั้ง ๔ ทำหน้าที่เฝ้ารักษาประตูสวรรค์ในทิศทั้ง ๔ เพื่อป้องกันมิให้พวกอสูรมารบกวน โดยมี
       
       ท้าวธตรฐ ผู้เป็นเจ้าแห่งพวกคนธรรพ์ รักษาทิศบูรพา
       ท้าววิรุฬหก เป็นเจ้าแห่งกุมภัณฑ์ รักษาทิศทักษิณ
       ท้าววิรูปักษ์ เป็นเจ้าแห่งนาคทั้งปวง รักษาทิศปัจจิมท้าวเวสวัน เป็นเจ้าแห่งยักษ์ รักษาทิศอุดร
       
       ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีจิตเลื่อมใสศรัทธา ปรารถนาจะเกื้อกูลพระพุทธศาสนา มิให้พวกอสูร หรือพวกศัตรูมาย่ำยีบีฑา แด่พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระบรมสุคตเจ้า
       
       จึงคิดจะชวนกันลงมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ก็ห่วงภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ มหาราชทั้ง ๔ จึงมีบัญชาแต่งตั้งให้ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค และยักษ์ อย่างละแสนรักษาประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งก็ให้พวกคนธรรพ์ รักษาทิศบูรพา กุมภัณฑ์รักษาทิศทักษิณ นาครักษาทิศปัจจิม ยักษ์รักษาทิศอุดร
       
       ครั้นแล้ว ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้ประชุมพร้อมกันที่ อาฏานาฏิยนคร ณ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พร้อมกับผูกมนต์อาฏานาฏิยปริตร ซึ่งมีเนื้อความสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ มี
       
       พระวิปัสสี ผู้มีสิริอันงาม
       พระสิขี พุทธเจ้า ผู้มากด้วยการอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งปวง
       พระเวสสภู พุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลส มีตบะ
       พระกกุสันธะ พุทธเจ้า ผู้มีชัยชนะแก่พญามารและเสนามาร
       โกนาคมนะ พุทธเจ้า ผู้มีบาปอันลอยเสียแล้วมีพรหมจรรย์อันจบแล้ว
       กัสสปะ พุทธเจ้า ผู้พ้นวิเศษแล้ว จากกองกิเลสทั้งปวง
       พระอังคีส พุทธเจ้า ผู้เป็นโอรสแห่งหมู่ศากยราช ผู้มีศักดิ์ มีสิริ ดัง นี้เป็นต้น
       
       ครั้นผูกมนต์พระปริตรแล้ว ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงประกาศแก่บริวารของตนว่า ธรรมอาณาจักรของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นบรมครูของเราทั้ง ๔ ถ้ามีผู้ใดสาธยายมนต์ อาฏานาฏิยปริตร นี้ขึ้น แล้วถ้าใครไม่เชื่อฟัง ไม่สดับ จะต้องถูกลงโทษอย่างสาสม รุนแรง
       
       และแล้วมหาราชทั้ง ๔ ก็พร้อมใจกันลงมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ภูเขาคิชฌกูฏ กราบบังคมทูลว่าหมู่ยักษ์ทั้งหลาย หมู่นาคทั้งหลาย หมู่กุมภัณฑ์ทั้งหลาย และหมู่คนธรรพ์ทั้งหลาย ผู้มีเดช มีศักดา มีอานุภาพ มีจิตกระด้างหยาบช้า ละเมิดเบญจศีลเป็นอาจิณ ที่ยังไม่เลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยนั้นมีมากพวกที่เลื่อมใสนั้นมีน้อย
       
       เมื่อพระสาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ยินดีในการอยู่ป่า เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ในที่ห่างไกลจากมนุษย์สัญจร อมนุษย์ผู้ไม่เลื่อมใส ย่อมจะย่ำยี หลอนหลอก กระทำให้เจ็บไข้เป็นอันตรายแก่ชีวิตและพรหมจรรย์ แต่ต่อนี้ไปจะไม่บังเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีกแล้ว ถ้าพระบรมสุคตเจ้าทรงพระกรุณาโปรดรับมนต์อาฏานาฏิยปริตรนี้ไว้ แล้วโปรดประทานให้พระภิกษุสาวก สาธยายอยู่เนือง ๆ อมนุษย์ทั้งปวงก็จะมิกล้าย่ำยีหลอนหลอกทำร้าย อีกทั้งยังจะช่วยปกป้องคุ้มครอง กันภัยทั้งปวงให้อีกด้วยพระเจ้าข้า
       
       องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับมนต์พระปริตรนั้นโดยดุษฏี
       
       ท้าวเวสวัณ ก็แสดงอาฏานาฏิยปริตรนั้นถวายและแล้ว มหาราชทั้ง ๔ ก็ถวายมนัสการลา
       
       สมเด็จพระบรมศาสดา จึงทรงมีพระบัญชาให้ประชุมภิกษุทั้งหลายในที่นั้น แล้วทรงแสดงมนต์พระปริตรนั้นให้แก่ภิกษุทั้งหลายได้เรียนสาธยาย เสร็จแล้วทรงมีพุทธฎีกาตรัสว่า
       
       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอุตสาหะ สาธยายมนต์พระปริตรนี้ให้บริบูรณ์ในสันดาน จะพ้นจากอุปัทวันอันตรายทั้งปวงได้ อมนุษย์ทั้งหลายก็จะไม่มาย่ำยี หลอนหลอก เธอทั้งหลายจะได้ดำรงค์อยู่เป็นสุข เพื่อยังพรหมจรรย์ให้เจริญ
       
       ภิกษุเหล่านั้นก็เปล่งสาธุการ น้อมรับด้วยเศียรเกล้า

คำแปล อาฏานาฏิยะปะริตตัง
           ความนอบน้อมแห่งข้าพเจ้า  จงมีแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้มีจักษุ  ผู้มีสิริ  ความนอบน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระสิขีพุทธเจ้าผู้มีปกติอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งปวง  ความนอบน้อมแห่งข้าพเจ้า  จงมีแด่พระเวสสภูพุทธเจ้า  ผู้มีกิเลสอันล้างแล้ว  ผู้มีตปะ  ความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่พระกกุสันธพุทธเจ้า  ผู้ย้ำยีเสียซึ่งมารและเสนามาร  ความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่พระโกนาคมนพุทธเจ้า  ผู้มีบาปอันลอยเสียแล้ว  ผู้มีพรหมณ์จรรย์อันอยู่จบแล้ว  ความนอบน้อมแห่งข้าพเจ้า  จงมีแด่พระกัสสปพุทธเจ้า  ผู้พ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง  ความนอบน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระอังคีสพุทธเจ้า  ผู้เป็นโอรสแห่งศากยราช  ผู้มีสิริพระพุทธเจ้าพระองค์ใดได้ทรงแสดงแล้ว  ซึงธรรมนี้  เป็นเครื่องบรรเทาเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง  อนึ่ง  พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใดก็ดี   ที่ดับกิเลสแล้วในโลก  เห็นแจ้งธรรมตามเป็นจริง  พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นเป็นคนไม่มีความส่อเสียด  ผู้ใหญ่  ผู้มีความครั้นคร้ามไปปราศแล้ว
           เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย นอบน้อมอยู่ชึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์ใด  ผู้เป็นโคตมโคตรผู้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย  ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ  ผู้ใหญ่  ผู้มีความครั่นคร้ามไปปราศแล้ว  ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอนมัสการพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น  ผู้โคตมโคตร  ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ  พระพุทธเจ้าเหล่านี้ก็ดี  เหล่าอื่นก็ดี  หลายร้อยโกฏิ  พระพุทธเจ้าเหล่านั้น  ทั้งหมดเสมอกัน  ไม่มีใครเหมือน  พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนมีฤทธิ์มาก  ล้วนประกอบแล้วด้วยพระทศพลญาณ  ประกอบไปด้วย เวสารัชชญาณ  พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนตรัสรู้อยู่  ซึ่งอาสภฐานอันอุดม  พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเป็นผู้องอาจไม่ครั่นคร้าม  บันเลือสีหนาทในบริษัททั้งหลาย  ยังพรหมจักรให้เป็นไป อันใครๆ  ยังไม่ให้เป็นไปแล้วในโลก 
          พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นประกอบแล้วด้วยพุทธธรรมทั้งหลาย ๑๘ เป็นนายก  ผู้ประกอบด้วยพระลักษณะ ๓๒ ประการ  และทรงซึ่งอนุพยัชนะ ๘๐ มีพระรัศมีอันงาม  ด้วยพระรัศมีมีมณฑลข้างละวา  พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนเป็นมุนีอันประเสริฐ  พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนเป็นพระสัพพัญญู  ล้วนเป็นพระขีณาสพผู้ชนะ  มีพระรัศมีมาก  มีพระเดชมาก  มีพระปัญญามาก มีพระกำลังมาก  มีพระมหากรุณามาก เป็นนักปราชญ์  นำสุขมาเพื่อสัตว์หลายทั้งปวง  เป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง  และเป็นที่อาศัย  เป็นที่ต้านทาน  และเป็นที่เร้นของสัตว์  เป็นคติ  เป็นเผ่าพันธ์  เป็นที่ยินดีมาก  เป็นที่ระลึก  และทรงแสวงหาประโยชน์  เพื่อสัตว์โลกกับเทวโลก  พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนเป็นเบื้องหน้าของสัตว์  ข้าพเจ้าขอวันทาพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้าและขอวันทาพระพุทธเจ้าเหล่านั้น  ผู้เป็นบุรุษอันอุดม  ผู้เป็นตถาคต  ด้วยวาจาและใจทีเดียว ในที่นอนด้วย  ในที่นั่งด้วย ในที่ยืนด้วย  แม้ในที่เดินด้วย ในกาลทุกเมื่อ
          พระพุทธเจ้า  ผู้กระทำความระงับ  จงรักษาท่านด้วยสุขในกาลทุกเมื่อ  ท่านผู้อันพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงรักษาแล้ว  จงเป็นผู้ระงับ  พ้นแล้วจากภัยทั้งปวง  และพ้นแล้วจากโรคทั้งปวง  เว้นแล้วจากความเดือดร้อนทั้งปวง  ล่วงเสียงซึ่งเวรทั้งปวง  ท่านจงเป็นผู้ดับทุกข์ทั้งปวงด้วยความจัญไรทั้งปวงจงเว้นไป  โรคทั้งปวงจงฉิบหายไป  อันตรายอย่าได้มีแก่ท่าน  ขอท่าสนจงเป็นผู้มีสุข  มีอายุยืน  ธรรมทั้งหลาย ๔ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ  ย่อมเจริญแก่บุคคลมีความไหว้ต่อบุคคลผู้ควรไหว้เป็นปกติ  ผู้อ่อนน้อมต่อบุคคลผู้เจริญเป็นนิตย์



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น