วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

สถูปของหลวงพ่อทวด ฯ

สถูปของหลวงพ่อทวด ฯ
_________
สถูปศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  สมภารองค์แรกของวัดช้างให้  สถูปนี้ตั้งอยู่ใกล้ชิดกับทางรถไฟสายใต้ระหว่าง   หาดใหญ่- สุไหงโก-ล๊ก   ใกล้ชิดที่สุดระหว่างสถานีนาประดู่  กับสถานีป่าไร่สถูปนี้มีอายุยืนนานมาประมาณ ๓๐๐ ปีเศษ  แต่เดิมมีแต่เสาไม้แก่นปักหมายไว้   ประชาชนจึงเรียกกันว่า  เขื่อนท่านช้างให้
ครั้งต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔  ท่านอาจารย์ทิมธมมธโร  (ท่านพระครูวิสัยโสภณ เวลานี้ )   เข้ามาเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๕  ซึ่งเป็นองค์หลังสุดในเวลานี้  ท่านได้จัดการบูรณะก่ออิฐถือปูนห่อหุ้มเสาไม้แก่น  ของเดิมไว้ภายใน   ชาวบ้านจึงเรียกกันว่าบัว (สถูป )  หลวงพ่อทวด ฯ  มาจนบัดนี้
ความศักดิ์สิทธิ์ในคุณอภินิหารของสถูป  หลวงพ่อทวด ฯ นี้มีแต่ดั้งเดิมแล้ว  แต่เนื่องจากครั้งนั้นยังไม่มีทางรถไฟ  จึงอยู่กลางป่าเปลี่ยว  และวัดก็รกร้างอยู่การสักการะบูชาก็มีแต่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเท่านั้น
ครั้นต่อมาการคมนาคมเจริญขึ้น  มีการทำทางรถไฟสายใต้ผ่านหน้าวัด  และผ่านไปข้างสถูปนี้  และมีถนนซอยแยกจากถนนจากถนนหลวงเข้าไปถึงวัด   ประชาชนได้รับความสะดวกในการไปมา   ก็ได้พากันไปสักการบูชาจากถิ่นไกลๆ   มีหลายชาติหลายภาษายิ่งทวีมากขึ้น   ดังเป็นที่ประจักษ์อยู่ ณ  เวลานี้
อภินิหารของ  หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  ได้แสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวบ้านในครั้งนั้น  ก็เป็นข่าวเล่าลือกันในความศักดิ์สิทธิ์  แพร่หลายไปในหมู่บ้านใกล้เคียงโดยทั่ว ๆ กัน  ใครมีเรื่องป่วยไข้ได้ทุกข์ใด ๆ ก็พากันมาสักการบูชา  ขอให้ท่านช่วยดลบันดาลขจัดปัดเป่าสิ่งร้ายนั้นก็สำเร็จความประสงค์  ชาวบ้านข้างเคียงจึงเคารพนับถือตั้งแต่นั้นมาเป็นต้นมา
บัดนี้วัดช้างให้  ได้เจริญรุ่งเรืองในด้านการบูรณะก่อสร้าง  ซึ่งมีโบสถ์หลังงาม  ค่าก่อสร้างเหยียบ  ๘ แสนบาท  วิหารอันงดงามค่าก่อสร้างประมาณแสนห้าหมื่อนบาทสำหรับประดิษฐานรูปหล่อจำลององค์หลวงพ่อทวด ฯ  ไว้สักการบูชา  และยังก่อสร้างกุฏิสำหรับเป็นที่พักอาศัยของสมภารเจ้าอาวาส  ซึ่งประมาณค่าก่อสร้าง  ถึง ๑ แสน ๕ หมื่นบาท  ธรรมศาลา ๑ หลัง  ราคา ๔แสนบาท กุฎิ ๕ หลัง ๒ แสนบาท  ร.ร. ๑ เป็นตึก ๒ ชั้น  กว้าง ๙ เมตรยาว ๕๔  เมตร  ราคาหนึ่งล้านบาทเศษ  ส่วนทางปฏิบัติสมณกิจก็นับว่า  ท่านพระครูเจ้าอาวาสได้ปฎิบัติมั่นอยู่ในศีลธรรม  จนประชาชนหลายชาติ  หลายภาษาพากันนิยมเลื่อมใสทั่ง ๆ ไป  ดังปรากฏเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วทุกขณะจึงเห็นได้ว่าวัดช้างให้มีความเจริญแล้วด้วยประการทั้งปวงสมเกียรติพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากท่านอาจารย์ทิม ธมมธโร  พระครูวิสัยโสภณ  ฝันว่าได้พบกับ  หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนผุ้เลื่อมใสอยู่ในเวลานี้วันหนึ่งท่านอาจารย์ทิมนึกสนุก  จึงเก็บเอาก้นเทียนที่ตกอยู่ริมเขื่อน ( สถูป ) มาคลึงเป็นลูกอม  ลั้วแจกจ่ายให้แก่เด็กวัดไปโดยไม่มีความหมายอะไร  แต่ปรากฏเป็นที่อัศจรรย์แก่ท่านว่า  เมื่อเด็กวัดได้ลูกอมก้นเทียนไปจากท่านแล้ว  ก็ได้ใช้ลูกอมขึ้ผึ้งนี้อมไว้ในปาก  แล้วลองแทงฟันกันด้วยมีดและพร้ามีคม  แต่ฟันแทงกันไม่เข้า  เลยถือเป็นการสนุกตามประสาเด็ก  จนความทราบถึงท่านอาจารย์ ฯ ก็ตกใจ  เกรงเด็กจะเป็นอันตราย  จึงเรียกเด็กมาประชุมสั่งสอนและห้ามการทดลองกันต่อไป
หลังจากนั้นมา  ท่านเริ่มสนใจในคำปวารถณาของหลวงพ่อทวดว่าจะเอาอะไรให้ขอ  ก็พอดีพวกชายหนุ่ม ๆ ผู้ชอบทางคงกะพันได้พากันมาขอ  ให้ท่านอาจารย์สักลงกระหม่อมให้  เพื่อมีไว้คุ้มครองตัว  ท่านระลึกถึงหลวงพ่อทวด ๆ  แล้วก็สักให้สุดแล้วแต่มือจะลากพาตัวอักขระไปเพราะท่านเองยังไม่ได้ศึกษาในเรื่องนี้  และได้สั่งสอนให้พวกศิษย์ที่มาสักประพฤติแต่ความดี ปรากฏว่าศิษย์ท่านอาจารย์วัดช้างให้สมัยนั้น  เกิดลองดีกันทางคงกะพัน  แล้วไม่มีศิษย์อาจารย์อื่นสู้ได้เลย  ( ขณะนั้นก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เพียงเล็กน้อย )  หลังจากนั้นมาทางคณะสงฆ์ผู้ใหญ่สั่งห้ามพระภิกษุทำการลงกระหม่อม   ท่านอาจารย์ ฯ จึงได้ระงับงดการสักตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้  แต่คุณอภินิหารยังปรากฏอยู่
หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด   โกรธทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒  ครั้งนั้นทางการทหารญึ่ปุ่นได้เอารถไฟสายใต้ของไทยทั้งขบวน  ไปใช้ทำการขนส่งสัมภาระเข้ากลันตันโจมตีสิงคโปร์  รถไฟขบวนนี้ต้องแล่นผ่านหน้าวัดช้างให้ไปตามราง ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเขื่อน (สถูป ) อยู่ทุกๆวัน  ต่อมาวันหนึ่ง  ในเดือนมกราคม ๒๔๘๕  เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น.  รถไฟขบวนนี้แล่นกลับมาจากสุไหงโก-ล๊ก   ถึงหน้าวัดหัวรถจักรเคียงขนานตรงกับสถูปพอดีทันทีนั้น  เหตุการณ์อัศจรรยที่ยังไม่มีใครพบเห็นปรากฏขึ้น  คือรถไฟขบวนนั้นติดตรึงอยู่กับที่  จะเคลื่อนต่อไปอีกไม่ได้   เครื่องรถจักรยังคงเดินตามปรกติ  ล้อเหล็กกำลังหมุนอยู่บนรางเหล็กในที่เดิม  จึงเกิดความร้อนมาก  มีประกายไฟแดงพราว   ไปทั้งสองข้างขบวนรถนั้น  อยู่สักครู่พนักงานหัวรถจักรและทหารญี่ปุ่นก็จนปัญญา  ไม่สามารถจะแก้ไขนำขบวนรถเคลื่อนที่แล่นไปได้  จึงให้รถจักรถอยหลังไปประมาณ ๑ ก.ม.  แล้วเร่งฝีจักรเต็มที่แล่นมาใหม่อีกแต่พอหัวรถจักรเคียงขนานสถูปในที่เดิมก็เคลื่อนที่ต่อไปไม่ได้อีก  รถไฟขบวนนี้จึงทดลองแล่นมาและถอยหลังกลับอยู่ตั้งแต่ ๑๕.๐๐ น.  จนกระทั่งใกล้จะค่ำก็ผ่านไปไม่ได้ประชาชนชาวบ้านใกล้เคียงชวนกันมายืนดูความอัศจรรย์ครั้งนี้อย่างล้นหลาม
ฝ่ายท่านอาจารย์เจ้าอาวาส  ก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรรถไฟดังสนั่นสะเทือนไปมาอยู่หน้าวัด  แต่ธุระไม่ใช่ท่านจึงไม่ได้สนใจออกจากกุฏิมาดูอย่างผู้อื่น  แต่เมื่อใกล้จะค่ำอยู่แล้ว  รถไฟขบวนนี้ก็ยังคงวิ่งไปมาอยู่ที่เดิม   ท่านนึกสงสัย  จึงคิดว่าทหารญี่ปุ่นมาทำอะไรอยู่หน้าวัดท่านจึงลงจากกุฏิไปดูกับเขาบ้าง  เมื่อปรากฏแก่สายตาของท่านว่าหัวรถจักรติดอยู่เพียงสถูปทุกๆครั้ง ที่ขณะกลับไปมา  ท่านจึงนึกว่าจะเป็นอภินิหารของท่านหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  เล่นงานขบวนรถไฟนี้เสียแล้ว   ท่านอาจารย์จึงเดินเข้าไปใกล้สถูปแล้วนึกในใจว่า  ถ้าหากหลวงพ่อทวดลงโทษ  ยึดขบวนรถไฟนี้แล้วก็ขอให้ยกโทษ  ปล่อยให้เขาไปทำงานตามหน้าที่ของเขาเถิด  เขาเป็นพวกนอกศาสนาไม่รู้จักอะไร  อย่าถือโทษเขาเลยและทันทีนั้นรถไฟก็ค่อยๆ เคลื่อนจากที่เดิม  วิ่งไปได้เป็นปกติ  และในคืนวันนั้น  ท่านอาจารย์นอนพอเคลิ้มใกล้จะหลับ  ก็ได้ยินเสียงพูดที่ข้างหูเป็นเสียงคนแก่พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า  อ้ายญี่ปุ่น  มาดูถูกพวกเรา ( ชาติไทย )  มันข่มเหงเอารถไฟเราไปใช้  ดีแต่มีลูกๆ อยู่บนรถสองตัว  มิฉะนั้นก็จะผลักให้ตกจากราง  กูไม่ยอมให้มันเอาไปใช้เป็นอันขาด  ท่านอาจารย์ทิมไมทราบว่าอะไร  ที่ท่านหลวงพ่อเรียกว่าลูก ๒ ตัว  อยู่บนรถ ต่อมาประมาณ ๗-๘วัน ได้มีชายสองคนมาหาท่านที่วัด   และขอถวายตัวเป็นศิษย์  และเล่าให้ท่านอาจารย์ ฯ  ฟังว่า  เขาสองคนเป็นพนักงานหัวรถจักร  และวันที่ขบวนรถไฟติดอยู่หน้าวัดนั้น   เขาสองคนเป็นคนไทยอยู่บนรถขบวนนั้นนอกจากนั้นเป็นทหารญี่ปุ่นทั้งหมด  จึงได้ทราบกันว่า  ลูกสองตัวก็คือคนไทยสองคนนี่เอง
ครั้งที่ ๒ ต่อจากขบวนรถไฟญี่ปุ่นถูกหลวงพ่อทวด ฯ ยืด  ครั้งที่ ๑  มาประมาณเดือนเศษ  วันหนึ่งเวลาเช้า  วันหนึ่งเวลาเช้า  มีพวกเด็ก ๆ  เล่นอยู่หน้าวัดและใกล้ ๆ กับสถูปนั้น    ได้พูดเล่ากันถึงหลวงพ่อทวด ฯ   ยึดขบวนรถไฟคราวแรก  มีเด็กคนหนึ่งพูดท้ากันว่า  วันนี้หลวงพ่อทวด ฯ ยึดรถไฟหรือไม่ยึดอีกฝ่ายว่าไม่ยึด  ฝ่ายที่ว่ายึดก็ได้เก็บเอาก้นเทียน  และธูปที่เหลืออยู่หน้าสถูปจุดไฟขึ้นบูชา  และอาราธนาขอให้หลวงพ่อทวด ฯ   ยึดขบวนรถไฟซึ่งกำลังวิ่งมา  วันนั้นเวลาเช้า  มีขบวนรถไฟเช้าระหว่างยะลาหาดใหญ่   พอหัวรถจักรเคียงขนานกับสถูปศักดิ์สิทธิ์  ก็หยุดนิ่งอยู่จะเคลื่อนที่ต่อไปก็ไม่ได้อย่างครั้งแรก  รถทั้งขบวนติดอยู่ ประมาณ ๓๐ นาที จึงเคลื่อนที่ไปได้ปกติ
ครั้งที่ ๓ มีพระอธิการยิ้ม  หลวงพ่อแดง  พระภิกษุกาว  สำนักวัดแป้น  อำเภอไทรบุรี  จังหวัดปัตตานี  ได้พากันไปวัดช้างให้  เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๔๙๕  และพักอยู่ที่วัดหนึ่งคืน  รุ่งขึ้นวันที่  ๓  เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น.   พระภิกษุทั้ง ๓ รูป   ได้มาขอพบข้าพเจ้าที่บ้าน  แล้วเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อแดงทราบจากข้าพเจ้าว่า  หลวงพ่อทวดวัดช้างให้  ได้กระทำการยึดรถไฟมาแล้วถึง ๒ ครั้ง  เหตุนี้พอตอนเช้าหลวงพ่อแดง   จึงเดินออกไปยืนอยู่ข้างสถูปรอรถไฟเช้า   ยะลา-หาดใหญ่  แล้วกล่าวคำปรารภขึ้นว่าเขาลือกันมานักว่า  หลวงพ่อทวด ฯ  มีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์มากเคยยึดขบวนรถไฟมาแล้วถึง ๒ ครั้ง  ลูกหลานมาจากที่ไกลใคร่จะขอชมสักครั้ง   ชั่วครู่ขบวนรถไฟเมื่อมาถึงหน้าวัดแล้วก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่เฉยๆ     จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปได้   แต่ล้อรถจักรก็คงหมุนรอบๆ อยู่บนรางอย่างคราวก่อนๆ แสดงให้เห็นว่าน่าจะมีอะไรยึดอยู่ข้างหลังขบวน  หลวงพ่อแดงว่า  ท่านเห็นเป็นที่ประจักษ์และตื่นเต้นจนขนลุก  จึงกล่าวขึ้นว่า ลูกหลานได้ชมแล้ว  ขอให้ปล่อยไปเถิด ขบวนรถไฟจึงได้เคลื่อนไปเป็นปกติ  ครั้งนี้รถไฟติดอยู่กับที่ประมาณ ๘-๙ นาที

 คัดลอกจากหนังสือเรื่องประวัติหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและคุณอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ  วัดช้างให้ ตำบลป่าไร่  อำเภอโคกโพธิ์  จังหวัดปัตตานี   พิมพ์ครั้งที่๖  จำนวน 20,000เล่ม  พ.ศ.2535

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น