วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

เรื่องหลวงพ่อทวด ๓



วัดช้างให้
ตำบลป่าไร่  อำเภอโคกโพธิ์   จังหวัดปัตตานี
______________________________
                      วัดช้างให้หมายความว่า  ที่ดินสร้างวัดนี้ช้างบอกให้   เป็นวัดโบราณวัดหนึ่งยืนนานประมาณ ๓๕๐ ปีเศษมีเจ้าอาวาสปกครองวัดนี้มาแล้ว ๕ องค์  และทุกๆองค์ปกครองวัดนี้อยู่ได้ไม่นานมักจะมีอุปสรรคนาๆประการ   ถึงกับต้องจากไปหรือมรณะ   เล่าต่อๆกันมาว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะ อาถรรพณ์วัดนี้แรงมาก   เจ้าอาวาสผู้มีบุญบารมีน้อยจึงไม่สามารถครองอยู่ได้   เหตุนี้วัดช้างให้จึงถูกทอดทิ้งให้รกร้างเป็นระยะหลายครั้งหลายหน   ร้างลงแต่ละครั้งละหนเป็นเวลาห่างกันนานๆ  ตั้งสิบๆปีถึงหลายร้อยปีก็มี   ปรากฏว่าเมื่อพ.ศ. ๒๔๘๔  ท่านอาจารย์ทิม  ธมมธโร  (ท่านพระครูวิสัยโสภณ)ได้เข้าครองเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้   เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๕  ขณะที่ท่านควบคุมการแผ้วถางป่า  ในบริเวณวักร้างนี้ต้องตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ๆขนาดคนโอบไม่รอบเสียหลายต้น   นี่ก็แสดงให้รู้ว่าวัดร้างมานานมาก  ต้นไม้จึงใหญ่โตขนาดนี้  เมื่อแผ้วถางป่าปราบพื้นที่ลงเรียบร้อยแล้ว   ปรากฏว่าวัดช้างให้เป็นพุทธภูมิที่เหมาะสม  เป็นที่น่าอยู่อาศัยของสมณะผู้แสวงธรรมรักสงบจึงได้มีพระภิกษุและสามเณรเข้ามาอาศัยจำพรรษาเรื่อยๆมา
                   เมื่อวันที่    ธันวาคม  ๒๔๘๔  ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกทั่วประเทศไทยจนเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ รถไฟสายใต้  หาดใหญ่-สุไหงโก-ล็ค (หาดใหญ่-สุไหงโกลกในหนังสือเขียนผิด)ต้องทำการขนส่งทหารญี่ปุ่น  และสัมภาระผ่านประตูวัดช้างให้วันละหลายๆครั้งประชาชนตื่นตกใจหวาดกลัวภัยสงคราม   ไม่เป็นอันจะทำมาหากิน   การบูรณธวัดช้างให้จึงหยุดชงักลงชั่วคราว  (ท่านพระครูวิสัยโสภณ  เข้ามาอยู่ในวัดช้างให้ประมาณ ๔ เดือน  ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ) หลังจากสงครามครั้งนี้สงบลงญี่ปุ่นเป็นฝ่ายยอมแพ้   ประชาชนชาวพุทธก็ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา  ส่วนพี่น้องชาวพุทธที่อยู่ใกล้เคียงกับวัดก็ได้ร่วมมือร่วมใจกันสละแรงงานช่วยเหลือการบูรณะวัดต่อเติมจนเรียบร้อย
                    เมื่อการบูรณะวัดช้างให้  สะอาดสอ้านตาขึ้นมาก   ทางด้านสถูปศักสิทธิ์  ซึ่งบรรจุอัฐิของท่านช้างให้องค์แรกหรือหลวงพ่อทวดฯ   ประดิษฐานอยู่ที่หน้าวัดนั้นก็เป็นแรงจูงใจของประชาชนหลายชาติหลายภาษา  ให้มาเคารพบูชา   นำลาภสักการหลั่งไหลเข้าสู่วัดนี้เรื่อยๆมาท่านพระครู ฯ       จึงดำริที่จะสร้างอุโบสถไว้  เพื่อเป็นหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนา   และจะได้เป็นที่อาศัยของพระภิกษูสงฆ์ในวัดได้สังฆกรรมต่อไป   ความจริงนั้นครั้งโบราณกาลมาวัดนี้ก็เคยมีโบสถ์มาก่อนแล้ว แต่ชำรุดสลายตัวไปหมดเพราะกาลเวลา   ที่ปรากฏให้เห็นเพียงพัทธสีมา  และเนินดินที่เป็นโบสถ์เก่าเท่านั้น   ท่านพระครูจึงได้กำหนดพิธีวางศิลาฤกษ์  อันเป็นรากฐานของโบสถ์แห่งใหม่   ในวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๕  แล้วขุดดินลงรากก่อกำแพงผนังโบสถ์  สืบต่อมาจนถึง  พ.ศ. ๒๔๙๖  งานก่อสร้างสำเร็จลงเพียงกำแพงโบสถ์โดยรอบเท่านั้น  งานก่อสร้างก็ได้หยุกชะงักลง ๘-๙ เดือนเพราะหมดเงินทุนที่จะใช้จ่ายต่อไป
                  ต่อมาในพ.ศ.  ๒๔๙๗   หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  หรือท่านสมภารองค์แรกของวัดช้างให้   ได้ประทานนิมิตฝันอันเป็นมงคลยิ่งแก่   นายอนันต์  คณานุรักษ์  หรือผู้เขียน   ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ห่างไกลจากวัดประมาณ  ๓๑ กอโลเมตร   ให้ผู้เขียนมาจัดการสร้างพระเครื่องลางเป็นรูปพระภิกษุชราขึ้นแทนองค์ของท่าน   และเตรียมงานสร้างพระพร้อมแล้วถึง  ๑๙  มีนาคม ๒๔๙๗  ตรงกับวันศุกร์  เดือน ๔  ขึ้น ๑๕ ค่ำ  เวลาเที่ยงตรง   ได้ฤกษ์พิธีปลุกเสกเบ้าและพิมพ์พระเครื่องเรื่อยๆมาทุกๆวัน   จนถึงวันที่ ๑๕  เมษยน  ๒๔๙๗  พิมพ์พระเครื่องได้  ๖๔,๐๐๐องค์  ( จะพิมพ์ให้ได้ ๘๔,๐๐๐องค์แต่เวลาจำกัดในพิธีปลุกเสก ) ก็ต้องหยุดลง  เพื่อเอาเวลาเตรียมงานพิธีปลุกเสกพระเครื่อง   ตามที่หลวงพ่อทวด ฯ กำหนดให้ท่านพระครูปฎิบัติ
                   ถึงวันที่ ๑๘  เมษายน ๒๔๙๗  ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ   เวลาเที่ยงตรง  ได้ฤกษ์ปลุกพระเครื่อง    เนินดินบริเวณโบสถ์เก่า    โดยมีท่านพระครูวิสัยโสภณเป็นองค์ประธานในพิธีและนั่งปรก    ได้อาราธนาอัญเชิญพระวิญญาณหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด   พร้อมด้วยวิญญาณหลวงพ่อสี   หลวงพ่อทองและหลวงพ่อจันทร์  ซึ่งหลวงพ่อทั้งสามองค์นี้สถิตย์อยู่ร่วมกับหลวงพ่อทวด ฯ      ในสถูปหน้าวัด  ขอให้ท่านประสิทธิ์ประสาทความศักสิทธิ์ขลังแก่พระเครื่อง ฯ   นอกจากนี้ยังมีหลวงพ่อสงโฆสโกเจ้าอาวาสวัดพะโคะเวลานี้   พระอุปัชฌาย์ดำวัดศิลาลอย  พร้อมด้วยพระภิกษุอาวุโสและคณะกรรมการ  มีนายอนันต์  คณานุรักษ์  นายชาติ สิมศิริ  นายกวี  จิตกูล  นายวิศิษฐ์ คณานุรักษ์   นายวิทยา๕ณานุรักษ์  นายสุนนท์  คณานุรักษ์  และนายจำนูญ  คณานุรักษ์   ได้ร่วมกันทำการแจกจ่ายพระเครื่องหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  ให้แก่ประชาชนผู้เลท่อมใส  ซึ่งมาคอยรอรับอยู่อย่างคับคังจนถึงเวลาเที่ยงคืนปรากฏว่าในวันนั้นกรรรมการได้รับเงินจากผู้ใจบุญ  โมทนาสมทบทุนสร้างโบสถ์เป็นจำนวน ๑๔,๐๐๐ บาท
                     หลังจากนั้นมา  ด้วยอำนาจบุญบารมีอภินิหารหลวงพ่อทวด ฯ ดลบันดาลให้พี่น้องหลายชาติหลายภาษาร่วมสามัคคีสละทรัพย์โมทนาสมทบทุนสร้างโบสถ์เรื่อยๆ  มางานก่อสร้างโบสถ์ จึงมีกำลังดำเนินการต่อไปโดยมิได้หยุกยั้งจนถึงวันที่  ๑๙  สิงหาคม  ๒๔๙๙  ได้จัดทำพิธียกช่อฟ้าและวันที่ ๓๑  พฤษภาคม  ๒๕๐๑  พิธีผูกพัทธสีมา   โบสถ์หลังนี้เสร็จสมบูรณ์   และพระภิกษุสงฆ์ได้อาศัยทำสังหกรรมถึงเวลานี้  รวมค่าก่อสร้างประมาณ ๘ แสนบาทขอให้พี่น้องทุกคน   จงรับเอาส่วนกุศลจงทั่ง ๆ กันเทอญ
                                     พี่น้องทั้งหลาย   ผู้ใดที่ยังไม่มีพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ไว้บูชา  หรือท่านเคยมีแล้ว  แต่หากสูญหายไปแต่ท่านก็ยังมีความเลื่อมใสในอภินิหารของท่านอยู่    เพื่อท่านจะได้ขอความคุ้มครองพิทักษ์รักษา   ให้แคล้วคลาดปลอดภัยนานาประการ  ท่านจงระลกถึงหลวงพ่อทวด ฯ และอาราธนาคาถา  "นะโมโพธิสัตว์โต  อาคันติมายะ  อิติภะคะวา "  ในเวลาที่จะให้ท่านคุ้มครอง  และรักษาโรคภัยบางประการ  ท่านจะได้รับผลเช่นเดียวกันกับท่านมีพระเครื่องรูปขององค์ท่านอยู่ประจำตัวเช่นเดียวกัน


                                                            อนันต์  คณานุรักษ์
                                          ๒๙   คาเนาะรู  อ.เมือง ปัตตานี                        

      
 คัดลอกจากหนังสือเรื่องประวัติหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและคุณอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ  วัดช้างให้ ตำบลป่าไร่  อำเภอโคกโพธิ์  จังหวัดปัตตานี   พิมพ์ครั้งที่๖  จำนวน 20,000เล่ม  พ.ศ.2535

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น