วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

คุณและอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ (๑)

คุณและอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ
เท่าที่ปรากฏเห็นประจักษ์แล้ว
___________
เรื่องที่ ๑
                ในงานพิธีแจกพระเครื่อง  สมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดวันแรก   มีเด็กชายกับเด็กหญิงหมนสองคนพี่น้อง  ได้รับแจกพระทั้งสองคน  เด็กหมนเมื่อได้รับพระแล้วก็เอาพระห่อชายพกกลับบ้าน  ได้เอาพระเครื่องโยนขึ้นแล้วใช้มือรับเช่นเดียวกับก้อนหินเล่นตามประสาของเด็กแต่รับไม่ทันพระจึงตกลงบนพื้นดิน  เขาจึงก้มลงเก็บพระด้วยมือ  ทันทีนั้นเด็กผู้ชายผู้นั้นก็ยืนแกว่งมือตกใจร้องไห้ขึ้นพ่อเขาจึงลงมาดูเห็นลูกยืนแกว่งมือร้องไห้อยู่  จึงเข้าไปจับมือแกะออกดู  ปรากฏว่ามีพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ  อยู่ในกำมือพ่อแม่ของเด็กทั้งสองเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ บันดาลให้เกิดขึ้น  เขาทั้งสองจึงนำลูกทั้งสองคนมาพบท่านอาจารย์เจ้าอาวาสที่วัดช้างให้ประมาณเวลา ๒๑.๐๐ น.  จึงมิได้ประสพด้วยตนเองแต่ได้รับคำบอกเล่าจากท่านอาจารย์ ฯ

                                                                                             นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
      เรื่องที่ ๒
                นายไสว  ปลื้มสำราญ  ครูประชาบาล  โรงเรียนตำบลบ้านไร่  ได้พบกับข้าพเจ้าที่วัดช้างให้  และเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าคืนวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๙๗ เวลากลางคืน  ภรรยาเขาถูกตะขาบกัด  มีอาการเจ็บปวดทุรนทุรายไม่ได้สติเวลาค่ำคืนเช่นนี้จะหายาที่ไหนก็ไม่ได้  นายธำรงบุตรชายคนโต  จึงนิมนต์พระเครื่องหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดวางลงบนน้ำพอเปียกแล้วเอาตั้งลงบนแผลนานประมาณ ๒-๓  นาที  แล้วก็หายปวดทันที  นายไสวบอกว่าเขาได้ประสพอภินิหาร  ของหลวงพ่อทวด ฯ ในครั้งแรกจึงเลื่อมใสวันนี้ผมจึงมาขอพระเครื่องอีก
                เรื่องเอาพระเครื่องรักษาคนถูกตะขาบกัดมีมากรายปรากฏว่าศักดิ์สิทธิ์นัก  แต่ผู้เขียนเห็นว่าไม่จำเป็นจะบันทึกลงทุกๆ คน  เพราะมีเรื่องอื่น ๆ อีกมาก

                                                                                          นายอนันต์ คณานุรักษ์  บันทึก

เรื่องที่ ๓
                เมื่อปลายเดือนเมษายน ๒๔๙๗  ในค่ำวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น   ข้าพเจ้าออกจากบ้านเพื่อจะไปซื้อของบางอย่าง ที่หน้าโรงภาพยนตร์ปัตตานี  ก่อนจะออกจากบ้านข้าพเจ้าได้พนมมือที่หน้าหิ้งพระ  ระลึกถึงหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  อฐิษฐานในใจว่า    ขอให้หลวงพ่อทวดคุ้มครองบ้านและบุตรด้วย  แล้วก็ออกจากบ้านไป เวลาประมาณ ๒๒.๐๐น  จึงกลับบ้าน  ขณะที่ข้าพเจ้าเดินกลับเข้าบ้านนั้นได้มองไปที่ประตูชั้นล่างอาศัยแสงสว่างข้างแรมสลัวๆ เห็นรูปคนดำทมึนยืนอยู่ ณ ที่นั้น  ข้าพเจ้าสะดุ้งตกใจนึกว่าคนร้ายจึงเหลียวกลับหลังเอาดุ้นฟืนมาถือไว้  แล้วร้องถามไปว่าใครแต่เงาดำรูปคนคงยืนโยกตัวโงนเงนอยู่ไปมา    ที่เดิมในขณะอึดใจนั้นข้าพเจ้าก็ระลึกขึ้นได้ว่า  อ้อ  หลวงพ่อทวดนี่เอง   ข้าพเจ้าจึงโยนดุ้นฟืนทิ้งแล้วยกมือพนมไหว้แล้วเดินเข้าไปหาเงาดำรูปนั้น  เมื่อเดินเข้าไปในระยะใกล้   เงานั้นก็สลายตัวจากรูปคน  คล้ายๆ กับควันบุหรี่ค่อยๆจางหายไปทีละน้อยจนหมด  นี่คืออภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ  ซึ่งข้าพเจ้าได้ประสพด้วยตนเอง
                                                                                                                 เผด็จ ณ  นคร
                                                                                                   แผนกช่างเทศบาลเมืองปัตตานี

                                                                                                            ๑๕ พฤษภาคม  ๒๔๙๗

เรื่องที่  ๔
                เมื่อปลายเดือนเมษายน ๒๔๙๗  นางมาลี  ภรรยาของนายล้วน  สมประสงค์  กรรมกรรถไฟ  โรงกุลีนาประดู่เจ็บท้องจะคลิดบุตรมาสองวันแล้ว  แต่คลอดไม่ออก  ผู้เจ็บมีอาการหนักมาก  เนื่องจากความยากจน  จึงไม่สามารถจะนำไปทำการคลอดที่โรงพยาบาลได้  เพราะไม่มีเงินว่าจ้างเหมารถจึงต้องนอนรอวาระสุดท้ายอยู่  บังเอิญเพื่อนร่วมงานของนายล้วนรู้เรื่องนี้  เขาจึงบอกให้นายล้วนรู้เรื่องนี้  เขาจึงบอกให้นายล้วนนำเอาพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ มาวางลงในขันน้ำ  แล้วจุดธูปเทียนบูชาขอเป็นน้ำมนต์เสดาะแล้วเอาน้ำมนต์ให้นางมาลีดื่มและพรมศีรษะ  ต่อมาชั่วครู่ ต่อมาชั่วครู่  นางมาลีผู้เจ็บคลอดก็มีกำลังและลมเบ่งลูกออกมาได้   แต่ปรากฏว่าเด็กนั้นได้ตายนานเสียแล้ว
                                                                                                               นายชาติ  สิมศิริ

                                                                                                      กำนัน  ตำบลนาประดู่  ผู้เล่าเรื่อง
เรื่องที่  ๕

                เมื่อปลาย  พ.ศ.๒๔๙๘  มีผู้หญิงไทยอิสลามคนหนึ่งคลอดบุตรเอามือออกมาก่อน   แต่ติดเพียงนั้น  เวลาผ่านมา ๓ วัน ๒ คืน   บุตรจึงตายอยู่ในท้อง  คนเจ็บหมดกำลังและลมเบ่ง   อาการเข้าเขตอันตรายญาติคนเจ็บมาตามภรรยาข้าพเจ้าซึ่งเป็นนางผดุงครรภ์แผนปัจจุบัน เมื่อภรรยาของข้าพเจ้าได้ไปตรวจดูแล้ว  ก็ทราบว่าไม่มีทางใดที่จะช่วยได้จึงแนะนำญาติของผู้ป่วยให้นำส่งโรงพยาบาลปัตตานี  แต่เขาไม่ยอมนำไปได้แต่ขอร้องให้ภรรยาของข้าพเจ้าช่วยแต่อย่างเดียว  เมื่อไม่มีทางใดที่จะใช้วิชาความรู้ช่วยได้แล้ว   เขาก็ระลึกถึงพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ   ซึ่งเขาเชื่อมั่นเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว  เขาจึงอาราธนาให้ท่านช่วยเสดาะลูกในครั้งนี้ด้วยพอจบคำอธิษฐานในใจก็ร้องคราญขึ้น  ภรรยาข้าพเจ้าจึงจับมือเด็กนั้นเขย่าเบา ๆ   ทันทีนั้นเด็กก็เปลี่ยนเอาก้นออกมา  เขาเห็นที่เป็นเช่นนี้นั้นเพราะถูกหลักซึ่งจะเอาก้นออกมา  เขาเห็นที่เป็นเช่นนั้นเพราะถูกหลักซึ่งจะช่วยด้วยวิชาความรู้ได้  จึงจัดการเอาเด็กออกจากท้องแม่ได้โดยง่ายดาย  ภรรยาของข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าเป็นด้วยคุณอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ ท่านดลบันดาลให้แน่ เพราะประสพมาแล้วเป็นที่ประจักษ์

เปี่ยม จุลวัธน์ ธ.บ.    
ทนายความจังหวัดปัตตานี



เรื่องที่ ๖
                มีอีกรายหนึ่งเมื่อพ.ศ. ๒๔๙๙ เวลากลางคืนผู้หญิงจีนมาที่บ้านข้าพเจ้า   และบอกว่าเขาปวดท้องจะคลอด (ผู้หญิงจีนคนนี้ฝากท้องกับภรรยาข้าพเจ้า )  ข้าพเจ้าว่าเขายังคลอดไม่ได้  เพราะภรรยาข้าพเจ้าไปทำคลอดที่อื่นยังไม่กลับมาเขาว่าเจ็บเต็มทนจะคลอดอยู่แล้ว  ข้าพเจ้าจนใจจึงรีบเข้าห้องพระ  กราบบูชาหลวงพ่อทวด ฯ  แล้วกล่าวว่า  ขอให้หญิงจีนคนนี้อย่าพึ่งคลอด   และขอให้ทางโน้นคลอดง่ายและให้ภรรยาข้าพเจ้ากลับเร็วๆเถิด  ประมาณ ๑๐ นาที  ภรรยาข้าพเจ้าก็กลับมาได้นำหญิงจีนเข้าห้องประมาณ ๕ นาทีก็คลอดอย่างง่ายดาย
                เมื่อภรรยาเสร็จธุระ  ข้าพเจ้าถามเขาว่าทำไมจึงได้กลับเร็ว   ทางโน้นคลอดแล้วหรือ  เขาตอบว่าคลอดแล้วหรือ  เขาตอบว่าคลอดแล้วขณะเขาล้างมือและทำความสะอาดนั้น  ได้ยินเสียงปราดกระซิบที่ข้างหูอยู่ว่าจงรีบกลับ  เขาสนใจในคำกระซิบนั้นจึงรีบกลับทันที  เจ้าของบ้านขอร้องให้นั่งพักเขาก็ไม่ยอมนั่ง  นี่ก็เกิดจากอำนาจอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ   ที่ภรรยาข้าพเจ้าได้ประสพมาทั้งสองเรื่อง
                                                                                                                                เปี่ยม  จุลวัธน์ ธ.บ.

                                                                                                   ทนายความจังหวัดปัตตานี
เรื่องที่  ๗
                ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคหืดหอบมาช้านาน  ได้รักษาด้วยยาแผนใหม่และแผนโบราณมามาก  แต่ก็ไม่หาย  ข้าพเจ้า  มีวัยชราแล้วคิดว่าคงจะมีซีวิตอยู่ไม่เกิน  พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นแน่อยู่มาวันหนึ่งอาการหืดกำเริบมากขึ้น  ไม่มีทางใดจะดับทุกข์ทรมานให้โรคนี้หายได้   บังเอิญนึกถึงหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเขาเล่าลือกันว่ามีคุณอภินิหารศักดิ์สิทธิ์นักจึงบอกให้นางนุ้ยภรรยาของข้าพเจ้า  ซึ่งเขาเป็นนักวิปัสสนาจัดดอกไม้ธูปเทียนเครื่องบูชา  แล้วนิมนต์พระวิญญาณของหลวงพ่อทวด ฯ   
   เข้าประทับทรงนางนุ้ย   เวลาชั่วครู่ต่อมานางนุ้ยก็ทรง  ข้าพเจ้าจึงได้พรรณนาถึงเรื่องที่ได้รับความทุกข์ทรมาน   ทางโรคหืดและหอบพร้อมทั้งขอยา   ท่านอยู่ในทรงได้บอกยาสมุนไพรให้พร้อมด้วยคาถาปลุกเสก   ให้ข้าพเจ้าต้มกินยาเป็นประจำ  แล้วท่านสั่งว่าถึงจะต้มยานี้ให้ผู้อื่นกินก็ได้และมึงอย่าเรียกร้องเอาค่ายาจากเขาแพง ๆ จงนึกถึงการกุศลเป็นสำคัญ  ข้าพเจ้าจึงจัดการหายามาต้มกิน  หม้อที่ ๑  อาการป่วยก็ทุเลาลง  หม้อที่ ๒ น้ำยาไม่ทันจะจืด  อาการหืดหอบที่เคยเป็นก็หายเป็นปกติมาจนบัดนี้  เพื่อน ๆ รู้ข่าวก็ขอให้ข้าพเจ้าต้มยานี้ให้กินรักษาโรคหืด  ปรากฏว่าหายมาหลายคนและข้าพเจ้าขอรับรองว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงซึ่งเกิดขึ้นแก่ตัวข้าพเจ้าและมีผู้รู้เห็นกันมา
                                                                           นายสุนทร   หะวิเกต
                                                                                                    ต. เจาะปริง  อ.สายบุรี
เรื่องที่ ๘
                วันหนึ่งในต้นเดือนตุลาคม  พ.ศ.๒๕๐๐ ร.ต.ตไพจิตร์  เกตุวิลัย  และจ่านายสิบวีระ  กองบังคับการตำรวจภูธร  ภาค ๙ จังหวัดสงขลา  ได้มาราชการที่จังหวัดปัตตานีและไปเยี่ยมข้าพเจ้าที่บ้าน   การสนทนาตอนหนึ่ง   จ่าวีระแจ้งเรื่องอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวดฯ    ให้ฟังว่าเขาเป็นโรคหืดหอบเรื้อรังมานาน   รักษามามากแล้วก็ไม่หาย
                วันหนึ่งอาการหืดหอบแรงขึ้น   เขาแสนจะทุกข์ทรมานบังเอิญได้นึกถึงคำเล่าลือว่า  พระเครื่องหลวงพ่อทวดฯมีความศักดิ์สิทธิ์ขลังนัก  อาราธนาทำน้ำมนต์กินแก้โรคทุกชนิดได้   เขาเข้าใจว่าเนื่องจากพระเครื่องประกอบขึ้นด้วยว่าน  ๑๐๘  จึงมีสรรพคุณเช่นนี้  เขาคิดว่าโรคหืดหอบของเขานั้นใช้แรงน้ำมนต์แช่พระเห็นจะไม่มีแรงพอ  ควรจะกินเนื้อพระเครื่องทั้งองค์  คงจะได้ผลแน่เขาจึงนำพระเครื่องเข้าในครัวซึ่งทุกๆ คนในบ้านไม่มีใครรู้   เขาจึงตำพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ จนละเอียดดีแล้วละลายน้ำกินจนหมด   โดยเขาคิดว่าได้กินผงว่านในองค์พระจะได้แก้โรคร้ายของเขา  แจ่ปรากฏว่าโรคร้ายก็ไม่ทุเลาลงเลย  กลับต้องทนทุกทรมานมาเป็นแรมเดือน   ต่อมาวันหนึ่งเขามาราชการที่จังหวัดปัตตานี  ได้รับคำแนะนำจาก  นายสามารถ  หะวิเกตุ  บอกให้เขาไปขอยาแก้โรคหืดหอบ  จากนายสุนทร  หะวิเกตุ  มารักษาโรคนี้
                หลังจากนี้ไม่นานจ่าวีระ  ได้ไปหานายสุนทรเพื่อขอยานายสุนทรจึงให้นางนุ้ยภรรยาเชิญหลวงพ่อทวดฯ  ทรงในนางนุ้ยแล้วก็ลุกขึ้นยืนเดินตรงเข้ามาที่จ่าวีระ  ทรงแสดงกิริยาเกรี้ยวกราดมาก  ทำท่าจะทุบตีและชี้หน้าจ่าวีระ  แล้วพูดว่า  มึงนะใจดำกินกูเข้าได้ (หมายถึงจ่าวีระกินพระเครื่อง )  แสดงกิริยาขึ้งโกรธจ่าวีระอยู่ชั่วครู่   จ่าวีระก็งงงันเพราะไม่รู้เรื่องอะไรได้แต่พนมมือไหว้นายสุนทรจึงแนะนำว่า   ผู้ที่ทรงนั้นคือหลวงพ่อทวดฯจ่าวีระนึกถึงเรื่องที่เขาเอารูปท่านหลวงพ่อทวด ฯ  ตำแล้วกินยิ่งเพิ่มความตกใจมากขึ้นในการกระทำของเขาครั้งนี้   จึงก้มลงกราบขอขมาโทษในสิ่งที่ผิดพลาดล่วงเกินท่านมาแล้วนั้นนางนุ้ยผู้ประทับทรงจึงพูดว่า  เอาละกูจะยกโทษให้มึงต่อไปมึงอย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด   และปลุกเสกยามอบให้จ่าวีระไปต้มกิน  จ่าวีระแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่าเขาได้ต้มยากินหลายหม้ออาการป่วยจึงได้หายเป็นปกติ  จนถึงบัดนี้   ( ขณะที่มาเยี่ยมข้าพเจ้า )จ่าวีระได้ขอพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ  จากข้าพเจ้าหนึ่งองค์  ข้าพเจ้าถามว่ายังไม่มีหรือ  เขาตอบว่าแต่ก่อนมีหนึ่งองค์เขาตำกินเสียแล้ว   ข้าพเจ้าจึงให้เขาไปบูชา ๑ องค์   นายสุนทร  หะวิเกตุ  ได้บอกต้นยาขนานนี้ของท่านหลวงพ่อทวด ฯ  ให้แก่ข้าพเจ้า  แต่ไม่ให้คาถาปลุกเสก คือ  ๑.ต้นเข็ตมอญเหยียทั้ง ๕ ,  ๒.รากไม้เท้ายายหม่อม     ๓.รากเค็ตเคล้า     ๔.รากเชียดเขา    ๕.รากปรางหวาน   ๖.รากพุดซ้อน   ๗.รากพุดชนิดไม่ซ้อน  ๘.รากชมพูยาหมู  ( รากต้นฝรั่ง )  ๙.รากสาวหยุด
                หากผู้ใดจะทดลองยานี้ต้มแก้หืดหอบ  ก็ให้ระลึกถึงหลวงพ่อทวด ฯ เจ้าของยา  โดยมีธูปเทียนอาราธนาให้ท่านปลุกเสกและขอความประสิทธิ์จากท่าน  เวลาจะดื่มยาทุกครั้งข้าพเจ้าคิดว่าคงจะได้ผล

                                                                                นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่ ๙
                เหตุเกิดที่บ้านหนองกรก  อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี  ในคืนวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๔๙๗  เวลาประมาณ ๒๑.๐๐น. นายแดงกับภรรยากลับจากทำงาน  มากินข้าวแล้วเตรียมเข้าห้องนอน  พอใกล้จะหลับได้ยินเสียงกริ่งๆอยู่ในขวดโหลบนหิ้งพระ  ซึ่งมีพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ขอมาจากวัดช้างให้ใหม่ ๆ  และได้เก็บไว้บนขวดโหลใบนั้นเขาคิดว่าหนูคงได้กลิ่นน้ำมัน  จึงลงไปคาบพระ  แล้วกระทบกับขวดจึงเกิดเสียงดังขึ้น  นายแดงจึงลุกขึ้นจุดตะเกียงส่องดูก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติจึงล้มตัวลงนอนต่อไปจนถึงเวลา ๒๒.๐๐ น.  เขากับภรรยาก็ตกใจตื่นขึ้นทันทีเพราะเสียงปืนดังขึ้นที่ชานเรือนสามนัดนายแดงนึกได้ทันทีว่าตนถูกผู้ร้ายปล้นบ้าน  จึงตื่นขึ้นจับมีดตัดฟากพื้นเรือนขาดเป็นช่อง   แล้วรอดหนีไปทางช่องใต้ถุนเรือนฝ่ายภรรยากำลังตกตลึงไม่ได้สติ   จึงลุกขึ้นไปจะเปิดประตูให้พวกโจร  ขณะที่พวกโจรกำลังกระแทกบานประตูอยู่พอเขายื่นมือจับกลอนประตู   ก็มีมือประหลาดมาผลักหน้าอกเขาก้นกระแทกพื้น  เขานึกถึงหลวงพ่อทวดทันที  จึงลุกขึ้นไปที่หน้าหิ้งพระพนมมืออ้อนวอน  ขอให้หลวงพ่อทวดช่วยคุ้มครองรักษา  ฝ่ายพวกโจรก็ออกกำลังพังประตูห้องอยู่โครมครามสั่นสะเทือน  เขากลัวจนไม่สามารถจะทนอยู่ได้  จึงพนมมือกล่าวขอให้หลวงพ่อทวดฯ   ช่วยคุ้มครองบ้านให้ลูกหลานด้วยเถิด  กล่าวจบแล้วลอดหนีทางช่องตามสามีไป  ปรากฏว่าพวกโจรใช้ปืนยิงติดตามมาข้างหลังแต่ไม่ถูก  พวกโจรเมื่อถามพังประตูไม่ออกจึงพากันหนีเข้าป่าไป
                                                                                             นายชาติ   สิมศิริ
                  กำนันตำบลนาประดู่   เล่าเรื่อง
                วันหนึ่งข้าพเจ้าพบกับพนักงานสอบสวนอำเภอโคกโพธิ์  เขาว่าผมได้ไปสอบสวนพร้อมกับนายอำเภอได้ตรวจดูความแข็งแรงของบานประตูห้องนอน   ของนายแดงแล้วปรากฏว่าเก่าแก่และแบบบางมากใช้แรงผลักดันคนเดียวก็พังเพราะประตูมีบานเดียว  และสอบถามคนแก่ที่อยู่นอกห้องได้ความว่าพวกโจร ๖ คนโถมพังประตูอยู่นานประมาณ ๒๕ นาที  เจ้าพนักงานสอบสวนคนนั่นบอกข้าพเจ้าว่า  มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

                                                                         นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่  ๑๐
                คืนวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๗  เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น.  นายซัว  นิลกำแหง  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่  ๓ ต.ลำพะเยา  จังหวัดยะลา  ได้เอาพระเครื่องหลวงพ่อทวดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วลงจากเรือนไปวัดลำพะเยา  เพื่อฟังพระแสดงธรรมวันนั้นเดือนขึ้น ๑๕ ค่ำ  พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่างเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น.  พระแสดงธรรมเสร็จแล้วก็กลับบ้านขณะเดินมาพบคนร้าย ๓ คนเป็นที่รู้จักดีและจำได้ดีเพราะแสงสว่างของดวงเดือนผู้ร้ายคนหนึ่งวิ่งมาใกล้เขา   แล้วใช้ปืนสั้นยิงเขาในระยะใกล้ชิดรวม ๔ นัด ๓นัดแรกไม่ถูกกระสุนนัดสุดท้ายถูกข้างตะโพกของนายซัวล้มลง  ผู้ร้ายเข้าใจว่าเขาถูกกระสุนปืนตายเสียแล้ว  จึงได้พากันหนีไปนายซัวจึงลุกขึ้นดูรอยที่ถูกกระสุน  ปรากฏว่ากางเกงทะลุตามแรงกระสุนปืน   แต่ที่ตะโพกไม่มีบาดแผล  เขาจึงรอดชีวิตมาได้ก็เพราะอำนาจหลวงพ่อทวด ฯ คุ้มครอง   เขายังพูดให้ผู้ไปสอบถามฟังว่าถ้าหลวงพ่อทวด ฯ คุ้มครอง  เขายังพูดให้ผู้ไปสอบถามฟังว่าถ้าหลวงพ่อทวดไม่คุ้มครองผมคงตายแน่เพราะมันยิงผมในระยะเผาขน
                นายชาติ  สิมศิริ  นายกวี  จิตต์กุล  นายวิศิษฐ์  คณานุรักษ์  ได้ไปถามปากคำนายซัวด้วยตนเองทั้งสามคน
คัดลอกจากหนังสือเรื่องประวัติหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและคุณอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ  วัดช้างให้ ตำบลป่าไร่  อำเภอโคกโพธิ์  จังหวัดปัตตานี   พิมพ์ครั้งที่๖  จำนวน 20,000เล่ม  พ.ศ.2535

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น