วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คุณและอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ (จบ)

คุณและอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ
เท่าที่ปรากฏเห็นประจักษ์แล้ว
เรื่องที่ ๒๑
                พลตำรวจ รวย  ดำรักษ์  อายุ  ๒๔ ปี  ประจำการค่ายอิงคยุทธบริการ (บ่อทอง ) จังหวัดปัตตานี  ทางการตำรวจส่งตัวไปสมทบกับกองตรวจ  เพื่อปราบผู้ร้ายในจังกวัดพัทลุงในคืนวันที่ ๓ พฤศจิกายน  ๒๔๙๙ พลฯ รวย  ได้แยกจากพวกออกไปตรวจทางเรือใน  ตำบลดอนพนาตุง  ใกล้หมู่บ้านทะเลน้อย อ.ควนขนุน   มีนายศรีและนายเสริฐสองพี่น้องช่วยเป็นผู้พายเรือร่วมไปด้วย เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น.  พบเรือลำหนึ่งล่องสวนทางมาตามน้ำ  และส่องไฟฉายมาที่เรือ พล ฯ รวย  จึงตะโกนบอกว่า “ เราตำรวจโว้ย    เรือนั้นได้ลอยลำใกล้เข้ามา พล ฯ รวย  จึงส่องไฟฉายดูบ้าง  ปรากฏว่าชายฉกรรจ์อยู่ในเรือลำนั้น ๖ คน  มีปืนลูกซองวางอยู่ที่ท้องเรือ ๒ กระบอก   พล ฯ รวย ตัวคนเดียวเห็นว่ามีทางเสียเปรียบหากมีเหตุเกิดขึ้น  จึงใช้มือทั้งสองข้างผลักดันเรือลำนั้นให้ออกห่างไป  แต่ทันใดนั้น พล ฯ รวยดำรักษ์  ก็ถูกยิงจากชายกลุ่มนั้นด้วยปืนสั้น ๑ นัด  กระสุนปืน พล ฯ รวยสลบตกน้ำไปเพิ่งมารู้สึกตัว  เมื่อขึ้นมานั่งอยู่ริมน้ำ   แต่กำลังงงอย่างหนัก  เพราะประสาทและสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก  ปืนเล็กยาวของพล ฯ รวย  ก็หายไปพร้อมกับเรือทั้งสองลำ
                ข้าพเจ้าถามว่าใครเอาตัว พล ฯรวยขึ้นจากน้ำในเมื่อกำลังสลบอยู่  เขาตอบว่า ไม่ทราบ  ข้าพเจ้าถามว่ามีใครอยู่ใกล้เคียงที่นั้นบ้าง  เขาตอบว่าไม่มีใครเขานั่งอยู่คนเดียวข้าพเจ้าถามว่าเขารอดชีวิตจากกระสุนที่สำคัญแต่ไม่เข้า  และสลบจมอยู่ในน้ำอีกทั้งสองครั้ง  นี้เป็นเพราะอะไรและมีอะไรติดตัวอยู่บ้าง  เขาตอบว่า ผมมี  พระเครื่องหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด   ได้ขอจากท่านอาจารย์ทิม ฯ ที่วัดช้างให้อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ๑ องค์   ผมจึงเชื่อว่า  หลวงพ่อทวด ฯ ได้กรุณาคุ้มครองชีวิตผมไว้จึงรอดตายมาได้ทั้ง ๒ ครั้ง
                หลังจากข้าพเจ้าสอบถามปากคำ  พล ฯ รวย ดารักษ์ประมาณ ๑๕ วัน  ข้าพเจ้าพบกับ พ.ต.ท.วิชิต  รักษนาเวศผกก. ต.ช.ด เขต ๘,๙ เรียนถามเรื่องของ พล ฯ รวย  กรุณาตอบว่า  เรื่องของ พล ฯ รวยนั้นเป็นความจริง  ในเรื่องถูกผู้ร้ายยิง  ในเรืองที่ถูกผู้ร้ายยิง  ท่านผู้กำกับซึ่งเป็นผู้บัญชา  พล ฯ รวย ท่านได้รับรายงานไว้แล้ว  ปืน พล ฯ รวย ก็เพิ่งได้คืนจากผู้ร้ายเมื่อเร็ว ๆ นี้
                                                                                 นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่ ๒๒
                                            วัดดอนแย้  สงขลา
       มิถุนายน ๒๔๙๙
เรียน  คุณอนันต์  คณานุรักษ์  ที่นับถือ
        เมื่อเดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ  ฉันไปเทศน์มหาชาติ  ที่วัดตะเคียนทอง  อ.ยะหริ่ง  จังหวัดปัตตานี  ตอนกลับแวะเยี่ยมคุณที่บ้านไม่พบ  เด็กบอกว่าไปเหมืองแร่  ฉันจึงกลับสงขลาวันรุ่งขึ้นไปเทศน์มหาชาติที่วัดใน  เมืองไทรบุรีอีก  ขณะนั่งรถอยู่นั้นก็นึกถึงพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ตั้งแต่คุณให้มายังไม่เคยได้ชมอภินิหารของท่านเลย  ได้รับฟังแต่ข่าวเขาเล่าลือกันมากมายเท่านั้น   ครั้งนี้ฉันคิดว่าจะลองดูบ้าง  จึงนึกอาราธนาในใจว่า  ขออย่าให้คนเก็บค่าโดยสารรถเลย  เมื่อถึงหน้าวัดฉันบอกคนรถ  ให้เขาหยิบปัจจัยค่ารถในย่าม  คนรถว่านิมนต์ครับไม่ต้องแล้วเขาก็ขับรถจากไป  คนรถก็ยังไม่รู้จักกับฉันเลย  ฉันโดยสารรถมามาก  เคยเสียค่าโดยสารทุกครั้ง ๆ นี้จึงแปลกใจ
        ต่อมาถึงเดือน ๗ ขึ้น ๑๑ ค่ำเขานิมนต์ฉันไปเทศน์ที่เมืองไทรบุรีอีก  เมื่อลงจากรถโดยสารสายหนึ่งและจะจอดรอรถโดยสารอีกสายหนึ่งที่ฉันจะไป    ฉันยืนคอยรอรถบัสอยู่ที่หน้าวัดบากามาตาในไทรบุรี  เพื่อจะไปปลายละมัย  รถบัสผ่านไป ๔ คัน  คนนั่งแน่นทุกคัน  เวลาเย้นมากแล้วถ้าพลาดรถก็ไปไม่ได้  ฉันร้อนใจมากเกรงจะเสียงานของเขาจึงระลึกถึงหลวงพ่อทวด ฯ ขึ้นมาได้  จึงอฐิษฐานในใจว่าขอให้หลวงพ่อทวด ฯ ดลบันดาลให้รถยนต์คันหนึ่งคันใดมารับสักทีเถอะจะได้ไปทันรถเมล์สายไปละมัย  ฉันคอยอยู่ประมาณ ๕-๖ นาที  ก็มีรถเก๋งคันหนึ่งเจ้าของผู้ขับก็ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนเลย  ฉันบอกความประสงค์แก่เขา  เขาว่าขึ้นรถเถอะจะพาไปส่ง  เมื่อเขาส่งถึงที่แล้วก็ไม่เรียกร้องอะไรจากฉันเลยฉันรู้สึกอัศจรรย์อย่างยิ่ง จึงแจ้งมาให้คุณทราบและควรบันทึกไว้

                                                                           พระภิกษุ  ประลอง   จุลมุสิก
เรื่องที่ ๒๓
                                                                                                                            ปีนัง
๑๑    มีนาคม ๒๔๙๘
คำนับ  คุณอนันต์  ที่นับถือ
นานแล้วไม่ได้ส่งข่าวอะไรติดต่อกัน  แต่ยังระลึกถึงความใจดีของคุณที่ได้ส่งพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ไปให้ผมตามความประสงค์   ตั้งแต่ผมรับพระไว้แล้วยังไม่มีอะไรเกิดให้เป็นที่อัศจรรย์  นอกจากผมอาราธนาท่านทำน้ำมนต์และเวลาต้มยาน้ำมนต์ นั้นผมได้รักษาคนป่วยซึ่งเป็นหญิงมลายูได้ผลดีมาก  เขารักษามาด้วยยาแผนใหม่มาก  แต่ก็ไม่หายผมจึงใช้ยาต้มและน้ำมนต์หลวงพ่อทวด ฯ  รักษาไม่กี่วันอาการป่วยก็หายลงตามลำดับ  ขณะที่ผมเขียนจดหมายนี้เขาก็เกือบสบายดีอยู่แล้ว    ต่อไปผมตั้งใจว่าจะรักษาคนป่วยด้วยยาสมุนไพรประกอบด้วยน้ำมนต์หลวงพ่อทวด ฯ  รักษาคนไข้ต่อไป  จึงแจ้งมาให้ทราบ
                                                                                                                          ขอนับถืออย่างสูง
                                                                                                              ตันม้าขุ่น (เดิมเป็นชาวภูเก็ต)
เรื่องที่ ๒๔
                เพื่อนรักของข้าพเจ้าผู้หนึ่ง ( ขอสงวนนาม ) ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าที่บ้าน   ท่านผู้นี้ไม่มีความสนใจในเรื่องโชคลาภใด ๆ แต่ข้าพเจ้ามีความรักและเจตนาดี  จึงได้มอบพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ให้ไป ๑ องค์  และกำชับว่า  แม้ว่าท่านยังไม่มีความสนใจ  แต่ผมขอร้องให้เชื่อผมไว้เถอะ  จะไปไหนมาไหนให้ติดกระเป๋าเสื้อไว้  วันหลังจะทราบผลเอง  อยู่มาวันหนึ่งท่านได้พบกับข้าพเจ้า และเล่าเรื่องอัศจรรย์ที่ท่านประสพมาโดยไม่น่าจะเป็นไปได้  คือ  ครั้งหนึ่งท่านกลับจากจังหวัดภูเก็ตจะมาจังหวัดปัตตานีเป็นการด่วน  จึงโดยสารเครื่องบินเมล์กลับมา  ขณะเครื่องบิน ๆ มาได้ครึ่งทาง  ก็ประสพกับพายุและฝนอย่างแรงนักบินหนีพายุจึงเชิดหัวขึ้นสูงจะให้พ้นพายุ  แต่กลับซ้ำร้ายยิ่งกว่าเดิม  เพราะประสพพายุแรงยิ่งขึ้น  อากาศมือดำมองไม่เห็นทิศทางเลย  ท่านวิตกและนึกถึงหลวงพ่อทวดขึ้นได้  จึงเอามือตบกระเป๋าเสื้อดูก็พบว่ามีอยู่  ท่านจึงกล่าวในใจว่า  ขอให้หลวงพ่อทวด ฯ แสดงปาฏิหาริย์ปัดเป่าพายุร้ายให้สงบลงเถิด  ทันทีนั้นอากาศก็สว่างมองเห็นพื้นดิน  ท่านจำได้ว่าเครื่องบินกำลังบินอยู่เหนืออำเภอระโนด  จังหวัดสงขลานี้เอง  ข้าพเจ้าจึงซักว่า  ขณะที่ท่านขอให้หลวงพ่อทวด ฯ  ทำปาฏิหาริย์ปัดเป่าพายุนั้นนานประมาณสูบบุหรี่หมดไปสักครึ่งม้วนได้ไหม  พายุจึงสงบ ( ข้าพเจ้าคิดว่าสูบบุหรี่ครึ่งมวนนั้นเครื่องบิน ๆ เร็วอาจจะพ้นพายุได้ )   แต่ท่านหัวเราะแล้วตอบว่า  พายุสงบทันทีนั้นเอง  และท่านว่าก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ซึ่งน่าจะเป็นไปได้  แต่ก็เป็นไปแล้วเป็นที่ประจักษ์
                                                                            นายอนันต์  คณานุรักษ์ 

                             บันทึกและรับรองว่าเป็นจริง
เรื่องที่ ๒๕
                ผู้สงวนนามท่านหนึ่ง  เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า  เมื่อท่านได้รับพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ไปจากข้าพเจ้าแล้ว   ท่านจะไปไหนก็พกพระใส่กระเป๋าเสื้ออยู่เสมอ  ต่อมาจึงได้เลี่ยมห้อยคอเป็นประจำ ต่อมาวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๘  ท่านได้ทำการประชุมอบรมลูกน้อง  ขณะนั้นฝนตกหนักฟ้าก็คำรามกลบเสียงที่ท่านพูด  ท่านจึงให้ลูกน้องนำรถจิ้ปเข้ามาใกล้แล้วเดินเครื่องทำไฟเข้ากับ  เครื่องขยายเสียง  เพื่อจะได้พูดให้ดังขึ้นขณะที่พูดไปได้สักครู่ฟ้าก็ผ่าลงมาใกล้ ๆ  บริเวณนั้น  กระแสร์ไฟฟ้าได้ซ๊อตเข้าเครื่องขยายเสียงและขณะนั้นท่านจับไมโครโฟนอยู่  กระแสไฟได้ซ๊อตเข้าตัวท่าน  ปรากฏว่าหัวใจได้หยุดเต้นไปประมาณ ๒ นาที  ท่านรู้สึกว่ามีอำนาจลึกลับมาปะทะหน้าอกท่าน  ให้มือที่จับไมโครโฟนหลุดห่างออกมาได้  ท่านรู้สึกตัวจึงตบดูที่หน้าอก  ก็พบพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ ที่ห้อยคออยู่    รู้สึกขนลุกไปทั่วตัว  และอาการที่ทำให้ท่านใจสั่น แกะอ่อนระทวยนั้นก็กลับคืนดีเป็นปกติ  และได้ทำการอบรมลูกน้องจนจบหลังจากนั้นท่านต้องรักษาตัวกับนายแพทบ์ที่ปัตตานี  ถึงสามเดือน  โรคกระทบกระเทือนของท่านที่ถูกไฟฟ้าช๊อตครั้งนั้นจึงหายเป็นปกติข้าพเจ้าไปเยี่ยมถึงบ้านท่าน  ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
    นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่ ๒๖
                ครั้งที่ ๒ซึ่งปรากฏการณ์น่าอัศจรรย์แก่ท่านผู้นี้อีกคือวันหนึ่งท่านได้เตรียม  การซ้อมยิงเป้าเพื่อ  ฝึกความแม่นยำของลูกน้อง  เมื่อตั้งเป้าเสร็จท่านได้ทดลองยิงก่อนตามเคยท่านผู้นี้แม่นปืนดีมาก  แต่วันนี้ท่านยิงไปแม้แต่แผ่นเป้าก็ยิงไม่ถูก  ท่านฉงนใจ คิดว่าลำกล้องปืนท่านเสีย  แต่ทันทีนั้นลูกน้องที่นั่นแอบดูอยู่ก่อนแล้ว  เห็นปรากฏเช่นนั้นเขาดีใจมาก  จึงวิ่งเข้ามาหาท่านแล้วพูดขึ้นว่า  ท่านยิงไม่ถูกแน่  ขอเชิญตามผมไปดู   ปรากฏว่าหลังที่แผ่นนั้นมีพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ห้อยอยู่  โดยการกระทำของลูกน้องของท่านเพื่อพิสูจน์อภินิหารหลวงพ่อทวด  ท่านบอกว่า  ผมเห็นท่านแล้วตกใจ  ต้องก้มกราบขอขมาโทษต่อท่านหลวงพ่อทวด ฯ ไปเลย
                                                                               นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่ ๒๗
                เป็นเรื่องของท่านผู้นี้อีกเป็นครั้งที่ ๓ คือ ท่านไปประชุมราชการที่อำเภอเบตง  เช้าวันหนึ่งได้มาพร้อมกันที่ร้านกาแฟซึ่งมีอยู่เช่นนี้เสมอ ๆ  ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ได้รับวิทยุจากจังหวัดนราธิวาสว่า  ลูกน้องของท่านทะเลาะกันและได้ใช้ระเบิดมือขว้างกันจนเกิดอันตราย  ท่านรับทราบและจะขึ้นเครื่องบินเฮริคอปเตอร์ไปทันที  จึงสั่งนักบินลูกน้องให้เตรียมตัว  ขณะนั้นเป็นเวลาเช้ามากสภาพของอำเภอเบตงมีหมอกจัดในเวลาเช้า  นักบินเรียนว่าขึ้นไปไม่ได้ครับหมอกหนามาก  มองไม่เห็นทาง  ไปเกรงจะชนภูเขาซึ่งล้อมรอบอำเภอเบตง  ท่านว่าอั๊วต้องไปได้คอยดูซิ  ท่านพูดต่อหน้าเพื่อนชั้นหัวหน้าที่นั่งอยู่ในที่นั้น  เมื่อนายสั่งนักบอนเตรียมตัวแล้วพากันขึ้นบนอากาศ  ท่านสั่งนักบินว่า  ลื้อมองหาทางเห็นช่องตรงไหนให้ออกทางนั้น  ท่านบอกข้าพเจ้าว่า  ขณะนั้นท่านอาราธนาขอให้ท่านหลวงพ่อทวด ฯ  เบิกหมอกเป็นทางให้  ชั่วประเดียวนักบินก็มองเห็นทางยาวคล้าย ๆแสงไฟฉายของเรือรบ  ได้ฝ่าทะลุหมอกอันดำ  นักบินเห็นเช่นนั้นก็เบนหัวเครื่องบินตรงออกไป  ตามแสงสว่างนั้นเมื่อพ้นไปแล้วได้พากันเหลียวหลังดู  ปรากฏแต่ความมืดของกลุ่มหมอกท่านจึงถามนักบินว่าถึงที่ไหน  นักบินบอกว่าถนนสายเบตงยะลา  ท่านสั่งว่าเอาลงไปได้  เมื่อเครื่องบินลงสู่พื้นดิน  ที่จังหวัดนราธิวาสเรียบร้อยแล้วนักบินยังคงติดใจคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่งว่า   ให้มองห่าองออกจากลุ่มหมอกที่เบตง  จึงเรียนถามข้อสงสัย  ท่านบอกว่า  อั้วขอให้หลวงพ่อทวด ฯ ช่วยปาฏิหาริย์กำจัดหมอกให้แก่เรา  ท่านกล่าวยืนยันกับข้าพเจ้าว่า  ผมมีพระหลวงพ่อทวดเหยียบทะเลน้ำจืดไว้บูชาคุ้มครอง  แม้ผมมือเปล่าก็กล้าวิ่งเข้าแย่งปืนกลมือจากพวกโจรจีนได้
                ผู้ขอสงวนนามทั้งสองท่านนี้  ข้าพเจ้ารับรองว่าเป็นความจริง  หากท่านผู้ใดจะขอทราบนาม  จดหมายถึงข้าพเจ้าได้จะตอบให้ทราบ
    นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่ ๒๘
                ท่านพระครูวิสัยโสภณ  เจ้าอาวาสวัดช้างให้  กรุณาเล่าเรื่องให้ข้าพเจ้าบันทึก  เรื่องมีอยู่ว่า
                เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒  วันเดือนปี  จำไม่ได้  ได้มีคนไทยนับถือศาสนาอิสลาม  อยู่ อ.จนะ  จ.สงขลา  ได้มาพักที่วัดพร้อมกับเพื่อนซึ่งเป็นชาวไทยพุทธ  ได้เล่าเรื่องหลวงพ่อทวด ฯ  ไปไว้คุ้มกัน  ท่านพระครูได้ให้ไว้ ๑ องค์  ต่อมาประมาณเดือนเศษ  ชาวไทยอิสลามผู้นี้  พร้อมด้วยเพื่อนชาวไทยพุทธ  และอิสลามอีกหลายคนได้มาหาท่านพระครูที่วัดช้างให้  แล้วได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อเขาได้รับพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ  ไปไว้ประจำตัวแล้ว  วันหนึ่งเขามีธุรกิจออกจากบ้านเวลาเย็นขณะเดินผ่านทุ่งนาและเข้าป่าละเมาะ  ได้มีผู้อาฆาตเขา ๒ คนยืนรออยู่เห็นเขาเดินมา  คนร้ายทั้งสองคนได้ระดมยิงเขาทันทีคนแรกยิงผ่านศีรษะ  คนที่สองยิงถูกหน้าท้องเขาล้มลงแต่ปรากฏว่ากระสุนลูกปลายไม้เข้า  มีแต่เสื้อผ้าที่สวมอยู่ขาดทะลุ  ผู้ยิงเข้าใจว่าเขาตายเสียแล้วจึงวิ่งหนีไป
                เขาลุกขึ้นตรวจดูไม่เห็นมีบาดแผล  และจำคนร้ายได้ดี  จึงรีบเดินทางไปแจ้งต่อกำนันพร้อมด้วยบาดแผล ที่มีรอยช้ำเป็นจุดแดง ๆ ที่หน้าท้อง
                หลายวันต่อมากำนันได้ขอร้องให้เขาเลิกอาฆาตต่อกันต่อหน้าสถูปอันศักดิ์สิทธิ์  ที่บรรจุอัฐิของหลวงพ่อทวด ฯ ที่วัดช้างให้  เขาบอกพระครูว่า  นี่แหละครับพวกที่ยิงผม  เขาชี้ไปยังพวกที่ดักยิงเขา  พวกนั้นก็ยอมรับผิดต่อท่านพระครู  และว่าต่อไปจะเลิกคิดร้ายต่อกันแล้ว

    นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่ ๒๙
                คุณกวี  จิตต์กุล ต.นาประดู่  ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเมื่อปลายเดือนมีนาคม ๒๕๐๓  มีตำรวจตระเวนชายแดนของสหพันธ์มลายู ๔ คน  ในจำนวนนี้เป็นชาวมลายู ๓ คน เป็นคนอินเดีย ๑ คน  ได้มาลงรถไฟที่สถานีนาประดู่  เขาถามคุณกวีว่าวัดช้างให้ไปทางไหน   คุณกวีถามเขาว่ามีธุระอะไรที่วัดหรือเขาตอบว่าจะไปขอพระเครื่อง ฯ  คุณกวีจึงได้ถามต่อไปอีกว่ารู้มาจากใครว่าวัดช้างให้  มีพระเครื่อง ฯ
                ผู้อาวุธโสในจำนวนนั้น  ได้เล่าให้คุณกวีฟังว่า วันหนึ่งเพื่อนตำรวจของเขา ได้เกิดปะทะยิงต่อสู้กับพวกก่อการร้ายโจรจีนด้านชายแดนไทย  เพื่อนคนนั้นถูกโจรจีนยิงต่อด้วยปืนกลล้มลง  แต่ไม่ปรากฏบาดแผล  เพื่อน ๆ และเขาได้ถามว่า  เขามีอะไรดีปืนกลจึงยิงไม่เข้า  เพื่อนคนนั้นดึงพระกลวงพ่อทวด ฯ ออกจากระเป๋าเสื้อให้ดูและบอกว่า  พระนี้ตำรวจไทยที่ชอบพอกับเขามอบให้  หลังจากนั้นมาพวกเขาทั้งสี่คนอยากจะได้พระบ้าง  แต่ไม่รู้ว่าจะไปเอาที่ไหน  บังเอิญวันหนึ่งพวกเขาได้พบกับ  ตำรวจตระเวนชายแดนฝ่ายไทยจึงได้สนทนากันและได้สอบถามถึงสถานที่ ๆ แจกพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ก็ได้รับคำแนะนำจากตำรวจไทยผู้นั้นโดยละเอียด  จึงได้เดินทางมายังวัดช้างให้  พวกเขาทั้ง ๔ คน  ได้โอกาสเมื่อว่างงานจึงรีบมาทันที  คุณกวีจึงแนะนำทางให้พวกเขาเดินทางจากสถานีนาประดู่และแวะทางซ้ายมือเข้าวัดช้างให้ต่อไป
                วันหลังข้าพเจ้าไปวัดช้างให้  เรียนถามท่าน พระครูวิสัยโสภณว่า  ผมทราบว่าตำรวจสหพันธ์รัฐมลายา ๔ คน มาหาท่านจะขอพระจริงหรือ  ท่านตอบว่าได้ให้ไปแล้วคนละองค์
    นายอนันต์  คณานุรักษ์ 
เรื่องที่ ๓๐
                วันหนึ่งเมื่อต้นเดือน  มิถุนายน ๒๕๐๓  ได้มีชายผู้หนึ่งมาหาข้าพเจ้า  และแนะนำตัวเองว่าชื่อ สัมพันธ์  โสตะจินดา  อยู่รงพิมพ์นครไทย  ถนนศิริอำมาตย์  พระนคร  ได้มีกิจธุระไปที่  อ.เบตง จ.ยะลา  เขาได้ทราบข่าวเกี่ยวกับอภินิหารของพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ จาดกเพื่อน ๆ ว่า ต.ช.ด.จำนวน ๑๕ คน  ได้ออกทำการตรวจโจรจีนในป่า  โดยแยกกันเป็นหมู่ ๆ ไปเป็นแนวหน้ากระดาน  ขณะเดินไปในป่าเป็นเวลานาน  พวกที่เดินทางริมสุด  ได้เดินหลงทางเฉียงเข้า ๆ มาตัดหน้าพวกที่อยู่แนวกลาง แล้วได้หาที่กำบังหยุดนั่งพักอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้  โดยมีใบไม้กำบังหยุดนั่งพักอยู่ในพุ่มไม้ โดยมีใบไม้กำบังพอลาง ๆ ส่วนพวกที่อยู่แนวกลางเดินมุ่งตรงไปข้างหน้า  ได้มองเห็นคนอยู่ในพุ่มไม้นั้นลาง ๆ จึงได้เพ่งมองอย่างตั้งใจ  เพื่อที่จะได้รีบทำลายเหล่าโจรจีนโดยเร็ว  จึงได้มองเห็นเพื่อนตำรวจหมู่นั้นเป็นโจรจีนไป  และได้ทำการระดมยิงด้วยปืนยิงเร็ว ๒ กระบอกประมาณ ๑๕ นัด  แต่กระสุนปืนทุก ๆ นัดไม่ระเบิด  ฝ่ายผู้ที่ถูกยิงซึ่งนั่งอยู่ใต้พุ่มไม้นั้น  เมื่อได้ยินเสียงปืนดังแชะ ๆ ครั้งแรกเข้าใจว่าเป็นเสียงของกิ่งไม้ที่ถูกลมพัด  แต่เมื่อได้ยินเสียงดังถี่ ๆ ก็ลุกขึ้นชะโงกหน้าออกมาดู  ฝ่ายผู้ยิงเมื่อได้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน  ก็ตกใจถึงกับเป็นลมล้มลง  เมื่อเป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว  ก็ถามเพื่อนว่า  มีอะไรดีจึงยิงไม่ระเบิดทั้ง ๆ ที่ยิงตั้ง ๑๕ นัด  จึงได้ช่วยกันค้นตัวตรวจดูทั่ว  ก็พบว่ามีหลวงพ่อทวด ฯ อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ๑ องค์
                ข่าวนี้คุณสัมพันธ์ว่า  ทางเบตงรู้กันมาก  จะปิดบังกันอย่างไรก็ไม่มิด  เขาอยากมีไว้บ้าง  พรรคพวกจึงแนะนำให้เดินทางมาขอจากข้าพเจ้า  และได้ให้ไว้ ๑ องค์  หลังจากนั้นมาข้าราชการ อ.เบตงได้มาขออีก ๓ คน  ได้เล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าทราบ  และบันทึกไว้  ต่อมาประมาณ ๑๐ วัน  ข้าราชการชั้วหัวหน้าแผนก ๑ คน  เป็นผู้ที่รักใคร่ชอบพอกับข้าพเจ้าได้มาเล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟังที่บ้าน  ท่านว่าเป็นเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ ขณะนี้ชาว อ.เบตง  เลื่อมใสกันมากยิ่งขึ้น

นายอนันต์  คณานุรักษ์ 
เรื่องที่ ๓๑
                ท่านพระครูวิสัยโสภณเจ้าอาวาสวัดช้างให้  ได้เล่าเรื่องอภินิหารหลวงพ่อทวด ฯ ทางเสดาะให้ฟังว่า
                วันหนึ่งชาว อ.ปะนะเระ  จ.ปัตตานี ได้มาหาท่านที่วัด  ประมาณ ๑๐ คน  เขาพากันมาแก้บนหลวงพ่อทวด ฯ ที่สถูปหน้าวัดและขอพระ ฯ  พวกเหล่านั้นเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าวันหนึ่งชายที่มาในพวกนี้คนหนึ่ง  ได้ไปวิดน้ำเพื่อจับปลาน้ำจืด  เมื่อน้ำแห้งแล้วชายคนนั้นก็ได้ลงไปจับปลาตัวอื่น ๆ ต่อไปแต่ปลาตัวนั้นเข้าปากคาบเอาไว้  เพื่อจะจับปลาตัวอื่น ๆ ต่อไปแต่ปลาตัวนั้นเกิดดิ้นหลุดเข้าไปในปาก  และติดอยู่ที่คอจะเอาออกก็ไม่ได้  เพื่อน ๆ ก็ไม่สามารถจะช่วยเหลือได้  ทำเอาชายนั้นต้องทรมานอยู่หลายวันเกือบเสียชีวิต  ยิ่งนานวันปลาหมอตัวนั้นตายและส่งกลิ่นเหม็นอย่างแรง  ผู้ที่ไปเยี่ยมก็ไม่สามารถนั่งอยู่ได้  เพราะความเหม็น ถึงวันที่ ๕ มีเพื่อนต่างตำบลมาเยี่ยม  และได้บอกความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อทวด ฯ  แช่ลงไปในน้ำแล้วกล่าวคำบนบานขึ้นให้ท่านช่วย  จึงเอาน้ำมนต์รดลงบนศีรษะ  และหยอดเข้าไปในปาก  ต่อมาชั่วครู่คนป่วยเกิดมีอาการไปและจามอย่างแรง  ปลาหมอที่ติดอยู่ในคอจึงหลุดออกมาทันที  ทุก ๆ คนซึ่งอยู่ในที่นั้นเห็นเป็นที่อัศจรรย์ในอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ ยิ่งนัก
                เมื่อคนป่วยสบายดีมีกำลังแล้ว  เขาพร้อมด้วยญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ จึงได้เหมารถยนต์มาแก้บนดังที่ได้กล่าวมาแล้วและขอหลวงพ่อทวด ฯ กลับไปคนละองค์

    นายอนันต์  คณานุรักษ์  บันทึก
เรื่องที่ ๓๒
                        อำเภอสุไหงปาดี
๙  มิถุนายน  ๒๕๐๓
เรียนคุณอนันต์ ที่เคารพ
                ผมย้ายมาจาก  จ.นราธิวาส  มาอยู่ อ.สุไหงปาดี  เมื่อผมมาอยู่ใหม่ ๆ ได้ฟังใคร ๆ  เขาเล่าลือกันว่าหลวงพ่อทวด ฯ วัดช้างให้  มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก  เป็นที่แพร่หลายกันมากแต่บางคนไม่มีโอกาสไปขอจากวัด  แต่ก่อนผมเคยไปรับราชการอยู่ที่ อ.โคกโพธิ์  ซึ่งนับว่าได้อยู่ใกล้วัดช้างให้  ทั้งผมก็เป็นศิษย์ของหลวงพ่อทวด ฯ อยู่ด้วย  อยู่มาวันหนึ่งในเดือนตุลา ๐๒ คุณสมศรี ภรรยาของปลัดเปลือง  เลิศแก้ว  ซึ่งเป็นปลัดอำเภอสุไหงปาดี  เกิดมีความเลื่อมใสอยากจะได้พระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ ไว้เลี่ยมห้อยคอ ๑ องค์  ความจริงแกมีพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯแบบบูชาอยู่แล้ว  แต่อยากได้พระเครื่องอีก  แกจึงขอร้องให้ผมนำไปขอจากวัดช้างให้  แกจึงขอร้องให้ผมนำไปขอจากวัดช้างให้แต่ผมยังไม่มีเวลาว่าง  จึงผัดวันประกันพรุ่งเรื่อยมา  ต่อมาจนถึงเดือนธันวาในปีเดียวกัน  วันหนึ่งแกได้วิ่งเอะอะมาจากบ้าน  และในมือกำของอย่างหนึ่งไว้  เมื่อพบผมแล้วแกก็บอกว่า “ ไม่ต้องไปวัดช้างให้แล้ว ” พลางแบมือให้ผมดูก็เห็นพระเครื่องหลวงพ่อทวด ฯ วางอยู่บนมือ  แกเล่าให้ผมฟังว่าพระเครื่ององค์นี้ไม่ทราบมาไหน  ได้ตั้งอยู่บนหิ้งพระภายในบ้านของแก  ผมสังเกตเห็นแกดีใจมาก  ใคร ๆ ซึ่งอยู่ในที่นั้นลงความเห็นกันว่าคงจะเป็นอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ ปาฏิหาริย์มาให้แกบูชาแน่  เพราะแกมีเจตนาอันแรงกล้าปรารถนาจะรับท่านไว้บูชา
                ต่อขากนั้นมาเดือนเมษา ๐๓ เด็กชายตี๋  บุตรคนเล็กของคุณสมศรี ฯ อายุ ๘ ขงบ  ได้รับทานอาหารเช้าบังเอิญกระดูกไก่ติดคอหุบปากลงไม่ได้  กลืนน้ำลายก็ไม่ได้บิดาพาไปหานายแพทย์เพื่อจะให้จัดการคีบเอาออก  แต่นายแพทย์ไม่สามารถคีบให้ได้เพราะกระดูกไก่ติดอยู่ลึกมากไม่เห็น  จึงต้องนำลูกกลับบ้าน  เมื่อผมทราบได้ไปเยี่ยมที่บ้านและแนะนำให้แกจัดการบูชาขอน้ำมนต์ของหลวงพ่อทวด ฯ แกก็ได้กระทำตาม  แล้วเอาน้ำมนต์นั้นให้ลูกชายดื่มทีละหยด ๆ เพราะดื่มมากไม่ได้  และรดศีรษะให้
                ปรากฏว่าอีก ๑ ชั่วโมงต่อมา  เด็กชายนั้นก็หุบปากและกลืนน้ำลายได้เป็นปกติ  ผมเห็นว่าเนื่องจากอภินิหารของหลวงพ่อทวด ฯ ประสิทธิ์ และขลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้จึงเล่ามาให้คุณทราบ
                                                                                                                              ด้วยความนับถือ
นายสงวน  รัตนอุดม

 คัดลอกจากหนังสือเรื่องประวัติหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและคุณอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ  วัดช้างให้ ตำบลป่าไร่  อำเภอโคกโพธิ์  จังหวัดปัตตานี   พิมพ์ครั้งที่๖  จำนวน 20,000เล่ม  พ.ศ.2535

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น