ประวัติครูบาเจ้าอภิชัยขาวปี
ถิ่นกำเนิด
ขอใช้จินตนาการรวมกาลเวลาย้อนคืนหลังไปเมื่อปี พ.ศ.2443 ณ หมู่บ้านแม่เทย อ.ลี้ จ.ลำพูน ในปัจจุบันนี้ สมัยนั้นความเจริญยังย่างกรายมาไม่ถึง ทุรกันดารไปเสียทุกอย่างเพราะยังเป็นบ้านป่าหย่อมเล็ก ๆ เพียง 9 หลังคาเรือนตั้งอยู่โดยมีความทะมึนของขุนเขาลำเนาไพรเป็นรั้วรอบ
จากคำบอกเล่า แม่เทยสมัยนั้นตกยามค่ำคืนเสียงสัตว์น้อยใหญ่ร้องระรมรอบบ้าน ไม่ว่าเสือ,ช้าง,เก้ง,กวาง คละเคล้ากันไปได้ยินถนัด ท้ายหมู่บ้านเป็นครอบครัวเล็กๆ ของผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่งอาศัยอยู่ แม้จะยากจนแต่ก็มีความสุขตามประสาคนหนุ่มสาวที่มักมองโลกเป็นความน่าเริงรมย์ยิ่งอยู่ในระยะข้าวใหม่ปลามันความฝันนั้นมักบรรเจิดยิ่งนัก ฝ่ายผัวมีเชื้อสายลัวะชื่อ เม่า และเมียชื่อ จันตา เขาทั้งสองดำรงชีพ แบบชาวบ้านป่าทั้งหลาย ด้วยการทำไร่ปลูกผักหักฟืนไปวันๆ โดยหาจุดหมายเพื่อความเป็นปึกแผ่นไม่ค่อยมั่นใจนักเพราะความยากจน สมัยนั้นไม่มีการทำนาเพราะยังไม่มีการบุกเบิก แต่จะพากันปลูกข้าวไร่แทน ได้ผลบ้างไม่ได้บ้างแต่ที่แน่นอนไม่พอกินไปตลอดรอดปี ซึ่งถ้าหากข้าวเปลือกที่กักตุนหมด อาหารหลักที่รับช่วงต่อจากข้าวก็คือกลอย ( กลอยเป็นพืชใช้กินหัวจัดอยู่ในตระกูลเผือกมันมีหัวอยู่ในดิน ) หัวเผือก หัวมัน ที่มีอยู่มากในสมัยนั้น
วันกำเนิด
ในวันจันทร์ ซึ่งตรงกับวันที่ 17 เดือนเมษายน 2443 อันเป็นวันมหาสงกรานต์ คำเมืองเรียกว่าวันปากปี ครอบครัวของ นายเม่านางจันตา ก็มีโอกาสตอนรับชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่งซึ่งลืมตามาดูโลดในวันนี้ นับเป็นสายเลือดและพยานรักคนแรกและเดียวของพ่อแม่เพื่อให้เป็นมงคลตามวัน ทั้งสองจึงตั้งชื่อทารกน้อยว่า “จำปี”
ชีวิตวัยเยาว์
ดังกล่าวแล้วว่า ครอบครัวท่านเป็นครอบครัวชาวบ้านป่าค่อนข้างยากจน อาหารการกินจึงขาดแคลน มีแต่ผักกับกลอยเป็นอาหารหลัก เด็กชายจำปี จึงมีร่างกายบอบบาง พุงค่อนข้างป่องเพราะเป็นโรคขาดอาหาร จึงมักเจ็บออดแอด แต่ไม่ร้ายแรงนัก “จำปี” มีแววฉลาดแต่ยามเล็กๆ ว่านอนสอนง่ายและเรียนรู้ประสบการณ์จากป่า ความสงบของธรรมชาติมาตลอดชีวิต แม้จะยากจนแสนเข็ญ ครอบครัวนี้ก็ยังคงมีความสุข ยิ่งมีลูกน้อยเป็นสื่อสายสายใจ พ่อเม่า แม่จันตา ก็ยิ่งมุมานะทำงาน เพื่อสร้างอนาคตให้เด็กน้อยจำปีขึ้นอีกเท่าตัว เด็กชายจำปี คงไม่เข้าใจการต่อสู้ของพ่อแม่นัก คงยังมีความร่าเริงสนุกไปตามประสาเด็กๆ และความน่ารักอันไร้เดียงสาของเขา มันหมายถึงความรักที่พ่อแม่ทุ่มเทให้ลูกน้อยอย่างสุดหัวใจ แม้ทั้งร่างกายจะเปื้อนเหงื่อกว่าชีวิตประจำวันจะสิ้นสุด ก็ต่อเมื่อใกล้ค่ำย่ำสนธยา แต่ใบหน้าไม่เคยว่างรอยยิ้มอย่างเป็นสุข เมื่อเห็นลูกน้อยผวาโผหาอ้อมกอดนี่คือความรักที่พ่อแม่ทุกคนในโลกที่มีต่อลูกน้อย
การพลัดพรากที่ยิ่งใหญ่
พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่าโลกนี้เป็นอนิจจัง มีความไม่เที่ยงแท้เป็นเครื่องกัดกร่อน ชีวิตมนุษย์ที่อุบัติขึ้นมาหาจุดหมายที่แท้จริงไม่ได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว สุขกับโศกมักจะเป็นเครื่องล้อเล่นให้ได้พบเสมอพบกันเพื่อจะจากกันในที่สุด เป็นอยู่เช่นนี้เหมือนกันทั้งโลก ครอบครัวของหนุ่มเม่าก็เช่นกัน จากความกรากกรำในงานไร่ และต่อสู้เพื่อเลี้ยงทุกชีวิตที่ตนรับผิดชอบทำให้เขาล้มเจ็บลง มันเป็นไข้ป่าที่ร้ายแรงซึ่งหลายคนเสี่ยงเอา หากว่าเป็นแล้วก็พึ่งยากลางบ้านต้มกินกันตามที่ผู้เฒ่าผู้แก่ หมอกลางบ้านจะแนะนำให้อยู่หรือตายนั่นแล้วแต่บุญกรรม สำหรับหยูกยาสมัยนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะไกลความเจริญเหลือเกิน พูดง่ายๆ ว่าจากลี้ไปเชียงใหม่สมัยนั้น ต้องเดินกันเป็นสิบๆวัน สำหรับพ่อเม่าค่อนข้างโชคร้าย ยากลางบ้านประเภทสมุนไพรสกัดโรคร้ายไม่อยู่ อาการมีแต่ทรงกับทรุด แม่จันตาต้องนั่งเฝ้ามิยอมห่าง ด้วยความเป็นกังวล โดยมีลูกน้อยนั่งอยู่ด้วยนัยน์ตาปริบๆ ด้วยคำถามที่ว่า “พ่อเป็นอะไรทำไมจึงไม่ลุกนั่งหอบอุ้มลูกเหมือนเก่าก่อน” แม่ก็ได้แต่ตอบว่าพ่อไม่สบาย พร้อมกับน้ำตาอาบแก้มกับคำถามสุดท้ายอันไร้เดียงสาของลูก พร้อมกับตั้งความหวังว่าพ่อคงไม่เป็นอะไรมากนักแต่อนิจจา ความตายนั้นไม่คำนึงถึงเวลาและความรู้สึกของมนุษย์เลย แล้ววันที่พ่อเม่าจากทุกคนไปอย่างไม่มีวันกลับก็มาถึง ท่ามกลางความเศร้าโศกของแม่จันตาและความอาลัยรักของเพื่อนบ้าน พ่อเม่าทิ้งซากที่ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่บนที่นอนเก่าๆ ให้แม่จันตาได้ร่ำไห้กอดรักปิ่มว่าจะขาดใจตามไปด้วย เด็กชายจำปียังไร้เดียงสาเกินไปนักที่จะเข้าใจว่าความตายคืออะไรด้วยวัยเพียง 4 ขวบ ก็ได้แต่พร่ำถามว่าแม่ร้องไห้ทำไม? ทำไมพ่อจึงไม่พูด? ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่จึงได้แต่เบือนหน้าหนีด้วยความสงสาร สะเทือนใจความพลัดพรากจากของรัก คนรัก นับว่าเป็นความเจ็บปวดร้าวรานใจอย่างงี้เอง
แสงทอง – แสงธรรม
นับจากพ่อเม่าจากลับไปแล้ว ก็เหลือแต่สองแม่ลูกกัดฟันต่อสู้ชีวิตท่ามกลางบ้านน้อยในห้อมแหนของดงดิบ จึงขาดความอบอุ่นอย่างสิ้นเชิงเมื่อความทะมึนของราตรีมาถึง หลายครั้งที่สองแม่ลูกต้องกอดกันผวาใจระทึก เมื่อเสียงกระโชกคำรามของเจ้าป่าดังมาที่ชายป่าใกล้บ้านเสียงนกกลางคืนที่กรีดร้อง เหมือนเสียงสาปแช่งของภูตผี นี่หากพ่อเม่ายังอยู่ก็คงเป็นที่ปลอบขวัญเหมือนมีกำพงเพชรคอยกางกั้น เมื่อขาดพ่อโลกใบนี้เหมือนโลกร้างมีแต่เพียง “จำปี” กับแม่เพียงสองคน “จำปี” แม้ร่างจะเล็กแต่เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมก็หล่อหลอมหัวใจเด็กชายจำปีให้แข็งแกร่งดังเพชรและนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านเป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคเป็นนักสู้ชีวิตที่เข้มแข็งในกาลต่อมา เด็กชายจำปีกับแม่ช่วยกันต่อสู้ในการดำรงชีวิตอย่างทรหด จวบจนอายุ 16 ปี แม้จะเป็นเด็กวัยรุ่นแต่ความคับแค้นที่ผจญอยู่แทบทุกวัน ทำให้ “จำปี” ไม่ร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไป กลับเป็นอันเสงี่ยมเจียมตนเมื่ออยู่คนเดียวเงียบๆ และมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินตัว
ฝากตัวเป็นศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย
สมัยนั้นท่านครูบาศรีวิชัย ยังอยู่ที่วัดบ้านปาง วันหนึ่ง แม่เรียกจำปีเข้ามาถาม “ลูกอยากบวชไหม” จำปีตอบว่า “อยากบวช แต่ยังห่วงแม่เมื่อลูกบวชแล้วจะมีใครมาดูแล” แม่ตาตอบว่า “แม่อยู่ได้อย่าห่วงเลย อีกประการหนึ่งการบวชนี้เป็นการช่วยพ่อแม่ดีที่สุด เพราะเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างแท้จริง เมื่อเห็นลูกนุ่งผ้าเหลือง ก็นับว่าเป็นความสุขชื่นใจอย่างเหลือเกิน” และจากคำแนะนำนี้ เด็กชายจำปีจึงถูกแม่พาไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย และในทันทีที่นำไปฝากเพียงท่านครูบาเห็นลักษณะเด็กชายจำปีท่านก็รับไว้ทันทีเหมือนดั่งจะมีตาทิพย์มองเห็นว่า เด็กคนนี้ในอนาคตจะต้องยิ่งใหญ่ ในฐานะนักบุญแทนท่านและอีกไม่นานหลังจากร่ำเรียนสวดมนต์ อ่านเขียนอักขระทั้งภาษาไทยและพื้นเมืองจบแล้วท่านครูบาศรีวิชัย จึงบรรพชาเป็นสามเณร
สามเณร “ศรีวิชัย”
ระหว่างเป็นสามเณรท่านได้ปฎิบัติกิจอันจะพึงมีต่ออาจารย์คือ ครูบาศรีวิชัยอย่างครบถ้วน ท่านจึงเป็นที่รักของอาจารย์อย่างยิ่ง ท่านจึงตั้งชื่อให้เหมือนกับอาจารย์ว่า สามเณรศรีวิชัย สามเณรน้อยได้เฝ้าอุปัฎฐากอาจารย์และร่ำเรียนกรรมฐานและอักษรสมัยจนจบถ้วนด้วยความสนใจพร้อมกับปฎิบัติตามที่พร่ำสอนจนดวงจิตสงบพร้อมกันนั้นก็ได้รับการถ่ายทอดในเชิงวิชาช่างก่อสร้างจากอาจารย์ จนเกิดความชำนาญและติดตามอาจารย์ครูบาศรีวิชัยไปก่อสร้างวัดวาอารามทุกหนทุกแห่งมิได้ขาด ในด้านสถาปัตย์ ท่านจึงนับว่าเป็นหนึ่ง ท่านชำนาญจนถึงขนาดว่าเพียงเดินผ่านเสาไม้ต้นไหนก็ สามารถรู้ได้ทันทีว่าเสาต้นไหนกลวงหรือตันทั้งๆที่ไม่ปรากฎว่าเสาต้นนั้นจะมีรอยกลวงให้ปรากฎแก่สายตา
ครูบาเจ้าศรีวิชัยอุปสมบทให้
ท่านดำเนินชีวิตทั้งในด้านการปฎิบัติกรรมฐาน และด้านพัฒนาก่อสร้างควบคู่กันไป จวบจนอายุได้ 22 ปี เป็นสามเณรได้ 6 พรรษาท่านครูบาศรีวิชัยจึงอุปสมบทให้ แต่เพราะเหตุที่ท่านมีชื่อเหมือนอาจารย์ เมื่อเป็นภิกษุจึงเปลี่ยนฉายาให้ใหม่ว่า “อภิชัยขาวปี” ท่านอุปสมบทได้เพียง 2 พรรษา ท่านจึงกราบลาพระอาจารย์ เพื่อที่จะแยกไปมุ่งงานก่อสร้างต่อไป
ผจญมาร
พระอภิชัย เริ่มงานก่อสร้างในสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่อายุ 24 จนถึงอายุ 35 ปี ลางร้ายก็เริ่มอุบัติ สมัยนั้นใช้เงินตราปราสาททองตรารูปช้างสามหัว และเริ่มมีธนบัตรใช้ควบคู่กันไป ขณะที่กำลังก่อสร้างกุฎิบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน แต่ยังไม่พ้นเสร็จปลัดอำเภอลี้ในสมัยนั้นก็มาสอบถามถึงใบกองเกินการเกณฑ์ทหารจากท่านแต่ท่านไม่มี ตำรวจจึงคุมตัวไปจังหวัดลำพูนและส่งตัวฟ้องศาล เมื่อถูกศาลไต่สวนถึงใบกองเกินว่าทำไมถึงไม่ได้รับท่านก็ให้การว่าในขณะที่เริ่มมีการเกณฑ์ทหารนั้นได้ระบุว่าให้ขึ้นทะเบียนตั้งแต่อายุ 18 ปีบริบูรณ์ แต่ขณะนั้นอายุอาตมาได้ 25 ปี บัดนี้อายุของอาตมาได้ 35 ปีแล้ว จึงนับว่าพ้นการเกณฑ์แล้ว ศาลจึงพักเรื่องนี้ไว้ก่อน
ถูกบังคับให้สึกแลครองผ้าขาวครั้งแรก
หลังจากนั้นอีกไม่นาน ท่านก็ต้องขึ้นศาลอีก และให้ท่านรับใบกองเกิน แต่ท่านก็มีความผิดที่ในระหว่างที่อายุยังไม่พ้นการเกณฑ์ทหารแต่ท่านไม่ไปแจ้งให้แก่ทางการให้มีการยกเว้นหรืออย่างไร ฉะนั้นท่านจึงมีความผิดให้จำคุก 6 เดือน แล้วให้จัดการสึกท่านออกจากการเป็นภิกษุก่อนแต่ท่านก็ยังยืนยันว่าท่านบริสุทธิ์ ท่านเป็นพระทั้งกายและใจ ชีวิตนี้อุทิศให้กับศาสนาแล้ว ท่านไม่ยอมเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกายของท่านด้วยมือของตัวเองเป็นอันขาด เมื่อยืนยันอย่างนี้ ศาลจึงให้ตำรวจต้องคุมตัวท่านหาเจ้าคณะจังหวัดสึกตามระเบียบ แม้กระนั้นท่านก็ยังยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะไม่ยอมสึกและเมื่ออภิชัยภิกขุไม่ยอมสึก เจ้าคณะจังหวัดจึงต้องบังคับ โดยให้ตำรวจจับเปลื้องผ้าเหลืองออกจากตัวท่าน จากนั้นตามระเบียบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอำนาจหน้าที่เหลือล้นในสมัยนั้น ก็สวมกุญแจมือท่าน แล้วคุมตัวไปโรงพักเสียคืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นเวลาบ่าย 4 โมงเย็น ก็ถูกส่งเข้าเรือนจำจังหวัดลำพูนในสมัยนั้นต่อไป ซึ่งในนั้นท่านต้องได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส ท่านเล่าถึงชีวิตในคุกตอนนั้นว่า คุกในสมัยนั้นสุดแสนสกปรกยังเป็นคุกไม้พื้นปูกระดาน เวลานอนก็นอนทั้งๆที่ล่ามโซ่ โดยสอดร้อยกับนักโทษคนอื่นๆ คือเท้าทั้งสองข้างล่ามโซ่ตรวนมีโซ่เส้นใหญ่ สอดร้อยกับตะขอพ่วงกับนักโทษคนอื่นอีกที เรื่องจะนอนหลับสบายนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะล้มตัวนอนลง ฝูงเลือดนับร้อยๆตัวอ้วนปี๋เป็นต้องรุมกันดูดเลือดกิน ให้ยุบยับไปหมด จะถ่ายหนักถ่ายเบาก็ว่ากันตรงช่องกระดานตรงที่ใครที่มัน เรื่องเหม็นกลิ่นไม่ต้องห่วง คลุ้งไปหมอตลบอบอวลทั้งเรือนจำทีเดียว ชีวิตประจำวันในห้องขังก็คือ พอ 7 โมงเช้า เปิดประตูทำงานสารพัดโดยมีผู้คุมถือกระบองคอยคุมอยู่ คอยหวดนักโทษบางคนที่ทำงานไม่ทันใจ ถึงเวลา 8 นาฬิกาผู้คุมเป่านกหวีดเลิกงานทานข้าว ซึ่งข้าวนี่อย่าหวังว่าจะกินให้อิ่ม และเอร็ดอร่อย ข้าวกระติกเล็กๆ แกงหนึ่งถ้วยกินกันสี่คน พอหรือไม่พอก็มีให้กินแค่นั้น กับข้าวแต่ละวันนั้นเลือกไม่ได้ จะมีผักเป็นส่วนใหญ่ ข้าวนึ่งที่ใช้รับประทานก็เป็นข้าวเก่าแข็งเหมือนกินก้อนกรวด เป็นข้าวแดงใช้แรงนักโทษนั่นเองช่วยกันตำ จึงดีหน่อยที่มีวิตามิน กินแล้วแรงดี
สร้างโรงพยาบาล
ท่านอภิชัยขาวปีทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกไม่นาน (บ้างก็ว่าประมาณเดือนกว่า) ก็ได้ไปเห็นโรงพยาบาลจังหวัดลำพูนทรุดโทรมเหลือเกิน ท่านจึงแจ้งกับผู้บัญชาการเรือนจำว่าจะสร้างโรงพยาบาลให้ใหม่ ซึ่งผู้บัญชาการเรือนจำก็ไปหารือกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดๆ ก็กลัวว่าจะสร้างไม่ทันเสร็จ เพราะท่านอภิชัยขาวปีติดคุกอยู่แค่ 6 เดือนเท่านั้น จึงไม่อนุญาต ท่านจึงถามว่า “ถ้าสร้างเหมาโรงพยาบาลนี้จะใช้งบประมาณเท่าไร อนึ่งถ้าสร้างภายใน 6 เดือนไม่ทันเสร็จ เมื่อถึงคราวฉลองเมื่อไหร่ก็มาร่วม” ทางจังหวัดก็บอกว่าถ้ามีเงิน 1,600 บาทก็สร้างได้ (เงินในสมัยนั้นมีค่ามาก) ท่านจึงออกเงินส่วนตัวมอบให้ทางจังหวัดเพื่อเป็นทุนสร้างโรงพยาบาลต่อไป เป็นเงินจำนวน 1,600 บาท ซึ่งหลังจากได้รับทุนแล้วก็ดำเนินการก่อสร้างทันที และผลแห่งความดีนั้นทางจังหวัดก็สั่งให้ทางเรือนจำเบิกตัวท่านออกจากห้องขังของเรือนจำ ให้ไปพำนักอยู่ที่โรงพยาบาลหลังเก่า เพื่อเป็นกำลังใจให้ไปก่อสร้างโรงพยาบาลพร้อมกันนั้นให้นักโทษชาย 2 คน มาอยู่เพื่อปรนนิบัติ ทั้งอาหารการกินก็ถูกกำชับให้ทำอย่างดีและสะอาดเป็นพิเศษแก่นักโทษทั้งหลาย ท่านก็เลยพ้นจากการทรมานเพราะถูกเลือดยุงกัด นับจากนั้นมา การก่อสร้างก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้จากบรรดาประชาชนทั้งหลายที่เลื่อมใสในตัวท่าน เมื่อทราบข่าวว่ามาเป็นประธานในการก่อสร้างโรงพยาบาล ก็พากันมาช่วยและทำบุญด้วยอย่างคับคั่งและเงินที่ได้จากการบริจาคครั้งนั้นยังได้ถึง 2,000พันกว่าบาท เกินกว่าที่กำหนดไว้ถึงสี่ร้อยบาท
นพ้นโทษ
ครั้นถึงเดือน 9 เหนือ แรม 2 ค่ำ ก็เป็นวันที่ท่านพ้นโทษตามคำพิพากษาครบ 6 เดือนและโรงพยาบาลก็เสร็จแล้วเสร็จก่อนถึง 10 วัน ในวันที่จะออกจากคุกนั้น ท่านก็ได้ให้ทานแก่พวกนักโทษทั้งหลายเป็นขนมส้มหวานทั้งหลายอย่างเหลือเฟือ จนพวกเขาอิ่มหมีพีมันไปตามๆกันเพราะเมื่อถึงตอนที่ท่านยังถูกจองจำอยู่ในคุกนั้น ระยหลังพวกนักโทษทั้งหลายก็อยู่กินกันสบายจากของไทยทานที่ประชาชนผู้เลื่อมใสนำมาถวายถึงในคุกเป็นประจำทุกวันอย่างมากมาย รวมความว่า ผู้เกี่ยวข้องอยู่ในเรือนจำทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้รับความสบายในด้านอาหารการกินไปตามๆกัน ดังนั้นเมื่อถึงกำหนดพ้นโทษวันนั้น นักโทษทั้งหลายก็พากันปริเวทนา บ่นพร่ำว่า เมื่อท่านอภิชัยขาวปีไปแล้วพวกเราทั้งหลายยังจะได้อยู่ดีกินอิ่มอย่างนี้อีกหรือแล้วพากันร้องไห้ ด้วยความอาลัยรักในตัวท่านเสียงระงมเป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งนัก แม้ตัวท่านเองก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ พวกเขาพากันมารอที่ประตูคุกเป็นการส่งด้วยใบหน้าที่นองด้วยน้ำตา และจากปากประตูคุกจนถึงวัดพระธาตุหริภุญชัยมีประมาณระยะทาง 70 วา ก็มีประชาชนยืนเรียงรายถวายท่านกัน ท่านได้เงินถึง 300 บาท พอดีกับของที่ซื้อของถวายทานแก่นักโทษ เหมือนกับเป็นการยืนยันว่า การทำบุญสุนทานนั้นไม่หายไปไหน เมื่อท่านเดินทางไปถึงประตูวัดพระธาตุหริภุญชัย ก็มีพระสงฆ์ 10 รูป มาสวดมนต์เป็นการลดเคราะห์สะเดาะภัยให้ แล้วให้ศีลให้พรให้อยู่ดีมีสุขสืบไป จากนั้นพอถึงเดือน 9 เหนือ แรม 4 ค่ำ ก็ร่วมฉลองโรงพยาบาลเป็นเวลา 3 วัน
อุปสมบทครั้ง 2
ในวันที่แล้วเสร็จงานฉลองสมโภชท่านก็เดินทางไปนมัสการท่านอาจารย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ ในครานั้นท่านครูบาศรีวิชัยจึงอุปสมบทท่านเป็นภิกษุอีก โดยมีครูบาแห่งวัดนันตาเป็นอุปปัชฌาย์หลังจากได้กลับมา สู่ร่มกาวพัสตร์แล้ว ท่านอยู่จำพรรษากับครูบาศรีวิชัยได้ 1 พรรษา ก็ลาอาจารย์จาริกสร้างสถานที่ต่างๆ ต่อไปอีกหลายแห่งทั้งวัดและโรงเรียน และในคราวสร้าง พระเจดีย์ที่บ้านนาหลวง อำเภอตาก จังหวัดตากเสร็จแล้วท่านก็มุ่งสู่แม่สอดโดยเดินทางรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพรถึง 4 คืน 4 วัน ถึงแม่ระมาด และเริ่มงานสร้างถาวรวัตถุอีกมากมาย จากอายุ 36 ถึง 42 ปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น