ประวัติชีวิตครูบาเจ้าขาวปีภาคพิสดาร
อะโห สังโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าช่างน่าอัศจรรย์จริงหนอ!
ดังได้กล่าวแล้วว่า ท่านครูบาเจ้าอภิชัยขาวปี เป็นอัจฉริยะบุคคลที่เข้าขั้นความเป็นอริยะเจ้าท่านหนึ่ง ดังนั้นจึงมักมีอภินิหาริย์ให้ปรากฏเสมอแก่ผู้ใกล้ชิด ดังจะรวบรวมมาไว้เป็นเรื่องๆ ดังนี้
ถูกระดมยิง
ครั้งหนึ่งในสมัยสงครามบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2 ) ญี่ปุ่นได้ยกตราทัพเข้ามาในเมืองไทยจนเต็มไปทั่วทุกมุมเมือง ตอนนั้นท่านได้ร่วมกับศรัทธาประชนชนสร้างโบสถ์และกุฎิสงฆ์ วันหนึ่งท่านได้ขี่เกวียนบรรทุกสัมภาระในการก่อสร้าง นำขบวนเกวียนมุ่งสู่วัด ระหว่างทางถูกทหารญี่ปุ่นหมวดหนึ่ง ซึ่งเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นผู้ส่งสะเบียงให้กับศัตรูของพวกเขา จึงพากันระดมยิงขบวนเกวียนในระยะประชิด เสียงปืนที่ยิงมานั้นระรัวเหมือนประทัดแตก แนวกระสุนที่สาดมาเป็นประกายเหมือนห่าฝน หลายคนร้องตะโกนด้วยความกลัวและกระโจนหลบแล้ววิ่งหนี แต่ท่านกลับไม่แสดงอาการอะไรให้เห็นพร้อมกับปลอบใจผู้ร่วมขบวนมิให้ตกใจกลัว แล้วท่านก็ยืนขึ้นหลับตาด้วยอาการสำรวม ปรากฏว่ากระสุนเหล่านั้นไม่ต้องผิวกายใครแม้แต่คนเดียว ตลอดถึงโคเทียมเกวียนก็ไม่มีตัวใดได้รับอันตรายเลย และท่านก็นำขบวนเกวียนผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนั้นไปอย่างน่าอัศจรรย์โดยทหารญี่ปุ่นเหล่านั้น ก็ไม่ได้ซ้ำเติมอะไรอีก
ห้ามระเบิด
ที่วัดเดียวกันนั้น ในสมัยมหาสงคราม วันหนึ่งมีเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตร ได้มาทิ้งระเบิดตรงจุดนั้นพอดีท่านได้ไปยืนยังลานวัดนิ่งด้วยอาการสงบ โดยมีศรัทธาทั้งหลายล้อมหวังพึ่งบุญด้วยความกลัวตายเสียงระเบิดที่ตกนอกเขตวัด ดังสะเทือนเลือนลั่น ปานแผ่นดินถล่ม แต่ไม่มีลูกใดเลย ที่จะมาตกภายในวัดนับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เล่าขานมาจนทุกวันนี้
มีญาณล่วงรู้เหตุที่เกิด
มีศรัทธาจากวัดบ้านล้องวัด อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน ท่านหนึ่งมีความปรานารถจะนำมะพร้าวอ่อนทั้งทะลายไปถวายให้ท่าน ระหว่างที่อยู่บ้านลูกชายคนเล็กของท่านผู้นั้น ร้องไห้อยากกินมะพร้าวนั้น แต่ผู้เป็นพ่อไม่ให้กินก่อนถวายไม่ได้ เมื่อถูกรบเร้าเข้าจึงตีบุตรชายไปหลายครั้ง จนบุตรชายเงียบกลัวถูกตีอีก แล้วก็บุตรชายพร้อมมะพร้าวที่จะนำไปถวายท่าน ท่านเองก็รับไว้ หลังจากให้ศีลให้พรแล้วท่านก็บอกว่า “ท่านถวายให้อาตมา อาตมาก็อนุโมทนาแล้วเป็นอันเสร็จประโยชน์ของท่าน แต่จงเอามะพร้าวนี้ไปให้บุตรชายท่านทานให้สมอยากเถิด เพราะก่อนมาเขาร้องไห้อยากท่านมิใช่หรือ” ชายดังกล่าวได้ยินดังนั้นถึงกับตกตะลึงไม่คิดว่าท่านจะล่วงรู้เรื่องนี้
เป็นผู้มีแรงอธิฐานเป็นเยี่ยม
ที่ชายแดนประเทศพม่า ที่ชายแดนประเทศพม่า คราวที่ท่านยังสร้างวิหารอยู่ที่แม่ระมาด อ.แม่สอด มีผู้พบพระพุทธรูปองค์หนึ่งหน้าตักประมาณ 1 ศอก จมอยู่ใต้แม่น้ำอิรวดี ผู้คนที่พบต่างพยายามใช้เชือกฉุดขึ้นมาจากใต้แม่น้ำให้ได้แต่พระพุทธรูปดังกล่าวก็ไม่เขยื้อนแม้แต่นิดเดียว พวกเขาจนปัญญาจึงเข้าไปนิมนต์ท่านให้นำขึ้นมา เมื่อท่านไปถึงแล้ว จึงลงแพไม้ไผ่ เอาเส้นด้ายเล็กๆ ให้คนดำน้ำไปคล้องพระพุทธรูปเสร็จแล้ว เพียงท่านดึงด้ายเบาๆเท่านั้น พระพุทธรูปก็ลอยขึ้นมาทันที ซึ่งในปัจจุบันพระพุทธรูปที่ว่านี้ ท่านจะไปสอบถามดูได้ที่วัดผาหนาม อ.ลี้ จ.ลำพูนได้ตลอดเวลา
เป็นผู้นิรันตราย
เรื่องนี้เกิดขึ้นคราวสร้างวิหารครอบพุทธบาทบนดอยผาหนาม อ.ลี้ จ.ลำพูน ขณะที่ท่านกับคณะศรัทธากำลังเดินลงดอย พึ่งเดินได้ครึ่งทางก็มีหินกลิ้งลงมาตามทางที่ท่านกำลังเดิน เสียงหินกลิ้งลงมาดังสนั่นสั่นไหว คณะศรัทธาที่ตามท่านไปก็ได้เห็นต่างพากันกระโดดหลบอยู่ข้างทาง และเรียกให้ท่านหลบหินที่กำลังกลิ้งมา เมื่อหินกลิ้งลงมาจะถึงตัวท่าน ท่านได้ใช้ไม้เท้าประจำตัวปักลงไป หินที่กลิ้งลงมาก็หยุดเพียงแค่นั้น
แม้ตายก็ไม่เน่าเปื่อย
สิ่งอัศจรรย์ที่หาดูไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ หลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว นับจากวันนั้นถึงวันนี้ ร่างกายที่ประดิษฐานอยู่ในโลงแก้ว ณ หอเมรุวัดผาหนาม ไม่มีอาการเน่าเปื่อย ซึ่งผิดจากลักษณะสังขารทั่วไป ยังคงรูปเป็นปกติ อาการครบ 32 ทั้งผมขนเล็บไม่มีหลุดล่วงหลนเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น